ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่าบทความนี้เหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่กำลังคิดริเริ่มจะก้าวเข้ามาทำธุรกิจบนโลกออนไลน์หรือสำหรับใครที่อาจกำลังทำธุรกิจออนไลน์แต่ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงการทำการตลาดด้วยคอนเทนต์ วันนี้เราจะมาบอกทุกขั้นตอนให้กระจ่างด้วยวิธีการวางกลยุทธ์การตลาดเพื่อให้ธุรกิจของคุณแข็งแรงในยุคสมัยที่ “คอนเทนต์” กลายเป็นตัวแปรสำคัญในการอยู่รอดของแบรนด์สินค้าส่วนใหญ่
อะไรคือ “การตลาดคอนเทนต์”
พูดง่ายๆ คือเป็นรูปแบบหนึ่งของการทำการตลาดที่ใช้เนื้อหามาเป็นตัวแปรในการส่งต่อสารหรือข้อมูลต่างๆ ที่ผู้ส่ง (ผู้ผลิต) ตั้งใจจะสื่อให้ถึงผู้รับสารคือลูกค้า กลยุทธ์ต่างๆ จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่การทำคอนเทนต์ออกมาให้ดีเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงช่องทาง รูปแบบและการนำส่งคอนเทนต์ในส่วนต่างๆ ด้วย สรุปคือการจะวางกลยุทธ์การตลาดคอนเทนต์ให้ประสบความสำเร็จได้จะต้องอาศัยองค์ประกอบหลายๆ ส่วนให้ทำงานไปพร้อมๆ กัน
ประเภทของคอนเทนต์
คนทั่วไปมักจะเข้าใจและตีความไปอย่างผิดๆ ว่า “คอนเทนต์” คือ “บทความ” ซึ่งแท้จริงแล้วความคิดนี้ไม่ได้ผิดซะทีเดียว เพราะคอนเทนต์ก็คือบทความนั้นถูกต้องแล้วแต่ไม่ใช่แค่เพียงบทความที่เป็นตัวหนังสืออย่างเดียวถึงจะเรียกว่าคอนเทนต์ได้ เพราะแม้แต่ภาพถ่าย วิดีโอ ก็ล้วนแต่เป็นคอนเทนต์ได้ด้วยกันทั้งสิ้น รูปแบบคอนเทนต์ที่มีอยู่ในปัจจุบันก็จะมีอย่าง บทความ วิดีโอ Podcasts, Infographics, รูปภาพ บทเพลง กิจกรรมโปรโมชั่น ฯลฯ
จากลิสต์ประเภทคอนเทนต์ต่างๆ ด้านบนจะเห็นได้ว่า ไม่ใช่แค่ตัวหนังสือเท่านั้นที่นับเป็นคอนเทนต์ แต่ทุกสิ่งที่ถูกนำเสนอออกไปให้คนได้ เห็น ชม อ่าน ให้ทั้งความรู้ ความบันเทิง ทั้งหมดนั่นก็คือคอนเทนต์
ช่องทางการใช้คอนเทนต์มีอะไรบ้าง
เมื่อทำคอนเทนต์ออกมาอย่างดีแล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาที่จะส่งต่อคอนเทนต์นั้นๆ ออกไปสู่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเรา สำหรับช่องทางของการปล่อยคอนเทนต์ออกไปในปัจจุบันนั้นมีมากมายไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ก็สามารถทำได้และทำได้ในหลากหลายรูปแบบอีกด้วย มาถึงตรงนี้คุณคงได้ทำความเข้าใจแล้วว่าคอนเทนต์คืออะไร มีที่มา ที่ไปอย่างไรและท้ายที่สุดคือการใช้งานมันได้อย่างไร คราวนี้ก็มาถึงส่วนของกลยุทธ์กันแล้วล่ะ ไปดูกันว่าต้องเริ่มวางอย่างไรบ้าง
- กำหนดเป้าหมายและการชี้วัด
ถ้าคุณไม่นำด้วยกลุ่มเป้าหมาย เชื่อเถอะว่าคอนเทนต์ที่ออกมาจะสะเปะสะปะแล้วเละแน่นอน คุณควรกำหนดกลุ่มเป้ามายของแบรนด์ไปเลยว่าต้องการขายสินค้าหรือบริการกับลูกค้าเพศไหน อายุเท่าไร ฯลฯ หลังจากได้กลุ่มเป้าหมายมาแล้วอีกหนึ่งส่วนสำคัญคือ “ตัวชี้วัด”
ตัวชี้วัดคือเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณวัดผลได้ว่าคอนเทนต์ที่ทำไปว่าได้ประโยชน์จริงๆ หรือทำไปให้เสียเวลาเปล่า อย่างเช่นถ้าคุณใช้ Facebook ตัวชี้วัดที่สะดวกที่สุดก็จะเป็นยอด Reach และ Engagement ที่คุณสามารถตรวจสอบด้วยตัวเองได้ เช่นโพสต์ไปแล้วมีคนมีไลก์ แชร์ คอมเมนต์มากน้อยแค่ไหน สำคัญที่สุดคือยอดขายว่าเพิ่มขึ้นหรือไม่ เป็นต้น
2. ปรับปรุง แก้ไขคอนเทนต์ที่มีอยู่
คอนเทนต์ที่เคยทำไปแล้วเราจะไม่พูดถึง แต่คอนเทนต์ที่คุณกำลังคิดจะทำหรือมีบทความเก็บเอาไว้ ควรหยิบขึ้นมาตรวจทานดูอีกครั้งว่าคอนเทนต์ที่ทำ เป็นไปตามข้อที่ 1 หรือไม่ นั่นคือเรื่องราวต่างๆ ในคอนเทนต์นั้นตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่เรากำหนดหรือยัง ถ้ายังก็ควรจะปรับเปลี่ยนเสียก่อน
3. ศึกษาพฤติกรรมลูกค้า
ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าลูกค้าของคุณชอบอะไร บอกตรงนี้เลยว่าไม่ต้องทำคอนเทนต์ให้เสียเวลาหรอกเพราะอย่างไรพวกเขาก็ไม่เจียดเวลาเข้ามาอ่านอยู่ดี หาสิ่งที่ลูกค้าชอบให้เจอแล้วจงทำให้พวกเขาเห็น เช่นคุณอาจจะเป็นแบรนด์สินค้าแฟชั่นที่มีลูกค้าชอบงานปักเลื่อมตามสไตล์แบรนด์ของคุณ คอนเทนต์ที่ทำก็ควรจะเป็นอะไรที่ช่วยให้พวกเขาเอาสินค้าของคุณไปใส่ได้ให้มากขึ้น อาทิ ไอเดียการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าปักเลื่อม โอกาสพิเศษกับลุคสุดพิเศษ ฯลฯ
การทำการตลาดถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพก็คงไม่ต่างจากการสร้างงานศิลปะ ความหมายคือคุณบอกไม่ได้หรอกว่าสิ่งที่คุณวางเอาไว้มันผิดหรือถูก เพราะนั่นเป็นแค่หลักการแต่ในทางปฏิบัติจริงๆ คุณจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่ากลยุทธ์ที่วางเอาไว้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ถ้าไม่ได้ลงมือทำ ยิ่งไปกว่านั้นการทำอย่างสม่ำเสมอและไม่ยอมแพ้จะทำให้คุณเจอแนวทางของตัวเองได้อย่างแน่นอน