นักทำเพจหรือผู้ที่เริ่มซื้อโฆษณา Facebook มือใหม่มักจะประสบปัญหาอย่างหนึ่งคือ “ไม่เข้าใจ” ไม่รู้ว่าคำต่างๆ เหล่านี้หมายความว่าอะไร ซึ่งเป็นเรื่องยากแน่นอนหากคุณไม่รู้ความหมายของคำเหล่านี้เพราะล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณรู้ได้ว่าโฆษณาที่คุณทำไปนั้น ณ ขณะนี้สถานะเป็นอย่างไร ไปในทิศทางที่ดีหรือไม่ วันนี้เรารวบรวมคำศัพท์ควรรู้มาฝากกัน
Reach = การมองเห็น
เมื่อโพสต์หรือโฆษณาของคุณถูกปล่อยออกไป เมื่อมีคนเห็น 1 ครั้ง ก็จะนับเป็น 1 Reach ดังนั้นหมายความว่าคนคนนึงสามารถมองเห็นโพสต์หรือโฆษณาของคุณได้มากกว่า 1 ครั้ง เท่ากับว่า Reach ที่ได้ของคุณอาจมาจากคนเดิมๆ ที่เคยเห็นโพสต์หรือโฆษณาของคุณแล้วก็ได้
ตัวอย่าง
โพสต์ของคุณมียอด Reach ทั้งหมด 1,000 ครั้ง แต่คนที่เห็นโพสต์นั้นอาจมีเพียง 800 คนก็เป็นได้
Impression = จำนวนครั้งที่โฆษณาแสดงออกไป
การทำโฆษณานั้นระบบของ Facebook จะทำการปล่อยตัวโฆษณานั้นออกไปอัตโนมัติ โดยอ้างอิงจากระยะเวลา งบประมาณ กลุ่มเป้าหมายที่คุณตั้งเอาไว้ ดังนั้นคุณจึงไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะให้โฆษณาตัวนั้นของคุณปล่อยออกไปได้กี่ครั้ง แต่อาจกำหนดได้เป็นช่วงเวลาที่อยากให้โฆษณานำส่งออกไปเพียงแค่นั้น
Frequency = ความถี่ในการมองเห็น
ไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้าหากโฆษณาของคุณถูกเห็นโดยคนคนเดิมซ้ำๆ มากเกินไป เพราะหนึ่งเลยจะยิ่งทำให้ค่าโฆษณาของคุณสูงขึ้นและอาจสร้างความรำคาญให้แก่คนที่ได้เห็นโฆษณาของคุณซ้ำๆ ด้วย ดังนั้น Frequency จะมาเป็นตัวชี้วัดโดยเฉลี่ยให้ว่าโฆษณาของคุณนั้นมีการถูกเห็นซ้ำแล้วประมาณกี่ครั้งต่อคนต่อโพสต์
ตัวอย่าง
โฆษณาของคุณแสดงผลออกไปทั้งสิ้น 100,000 ครั้ง แต่มีคนเห็นราว 60,000 Reach เท่ากับว่าอัตราการเห็นโพสต์ซ้ำของคุณอยู่ที่ประมาณ 1.67 ครั้งต่อคนต่อโพสต์ ซึ่งในกรณีนี้ยังถือได้ว่าอยู่ในระดับที่ดี แต่ถ้าหากไต่ขึ้นไปถึง 3-4 ครั้ง อันนี้คุณต้องพิจารณาในการแก้ไขโฆษณาที่นำส่งออกไปแล้ว
CTR = Click Through Rate
คำจำกัดความของ CTR คืออัตราส่วนแสดงถึงผู้ที่เห็นโฆษณาของคุณคลิกโฆษณาบ่อยเพียงใดใช้ในการวัดประสิทธิภาพของโฆษณานั้นๆ ได้ โดย CTR คำนวนได้จากการนำจำนวนการคลิกหารด้วยจำนวนครั้งที่โฆษณาแสดง
ตัวอย่าง
โฆษณาของคุณแสดงผลออกไป 100 ครั้ง และยอดคลิกของคุณเท่ากับ 7 ดังนั้น CTR ของคุณก็คือ 7% นั่นเอง
CPC = Cost Per Click
เป็นราคาสำหรับโฆษณาที่คิดค่าใช้จ่ายผ่านจำนวนการคลิกโฆษณานั้นๆ ของผู้ที่ได้พบเห็นโฆษณาที่คุณส่งออกไป ดังนั้นเท่ากับว่าคุณจะไม่เสียค่าโฆษณาตราบใดที่ไม่มีคนคลิกที่โฆษณาของคุณ
CPM = Cost Per 1,000 Impressions
การเก็บค่าใช้จ่ายโฆษณาจากการที่มีการแสดงโฆษณาต่อผู้ใช้ครบ 1,000 ครั้งโดยไม่คำนึงว่าใน 1,000 ครั้งนั้นจะมีการคลิกหรือไม่ ในการทำโฆษณาแบบ CPM นี้เราจะเป็นผู้กำหนดราคาเอง ซึ่งราคาก็จะมีค่าเฉลี่ยมาตรฐานที่ Facebook กำหนดไว้
ตัวอย่าง
กำหนดมูลค่า CPM เท่ากับ 10 บาท พอเมื่อโฆษณาของคุณแสดงผลออกไปครบ 1,000 ครั้ง ก็จะเสียค่าโฆษณาเพียงแค่ 10 บาทเท่านั้น แม้ว่าจะมีคนคลิกโฆษณาของคุณมากเพียงใดก็ตาม
CPA = Cost Per Action
เป็นการคิดค่าโฆษณาต่อการดำเนินการนั้นๆ ซึ่งวิธีนี้ผู้ทำโฆษณาจะเป็นผู้เลือกวิธีการที่ Facebook จะเรียกเก็บเงินเราได้ เช่น การสมัครสมาชิก การลงทะเบียน การสั่งซื้อสินค้า เป็นต้น
Engagement = การมีส่วนร่วม
หนึ่งในจุดประสงค์ (Objective) ที่ได้รับความนิยมใช้มากที่สุด โดยใน Engagement นั้นจะสามารถสร้างโฆษณาได้ทั้งแบบการมีส่วนร่วมกับโพสต์ เพจ และการตอบรับกิจกรรมต่างๆ ด้วย ซึ่งสิ่งที่จะนับเป็น Enagement ได้ก็มีตั้งแต่ Like, Reaction, Comment, Share
Awareness = การรับรู้
เป็นรูปแบบโฆษณาที่จะเก็บข้อมูลในรูปแบบการมองเห็นเท่านั้น คือไม่สนใจว่าจะมีการ Like, Reaction, Comment หรือ Share โฆษณาตัวนั้น เพราะจุดประสงค์เพื่อให้ผู้ใช้รับรู้ถึงโฆษณาตัวที่ปล่อยไปเท่านั้น วิธีนี้จึงเหมาะกับเพจที่เพิ่งเปิดใหม่ๆ หรือธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงกิจกรรม โปรโมชั่นพิเศษต่างๆ อีกด้วย