อยากทำ SEO ให้ได้ผล ต้องรู้ลึก รู้จริง ทั้งกลยุทธ์และเครื่องมือ หากคุณคือหนึ่งในธุรกิจที่อยากลงแข่งในสนามนี้ Digital Tips แนะนำให้เริ่มจากการศึกษาเรื่อง SEO Tools พร้อมสมัครทดลองใช้ให้ชำนาญ เพื่อพัฒนากลยุทธ์ SEO จนสามารถเอาชนะคู่แข่ง และดันเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกบน Google ได้ เครื่องมือทั้ง 5 ชิ้นที่คุณควรรู้จักในวันนี้มีอะไรบ้าง ไปดูกัน!
1. Google Analytics
Google Analytics คือ เครื่องมือสำหรับวิเคราะห์ระบบหลังบ้านของเว็บไซต์ ว่ามีคนเข้าชมมากน้อยแค่ไหน หน้าไหนมีคนคลิกเข้าชมมาก หน้าไหนมีคนคลิกเข้าชมน้อย รวมทั้งสามารถวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เข้าชม ทั้งข้อมูลในแง่ประชากรศาสตร์ เพศ อายุ แหล่งที่อยู่ และพฤติกรรมได้ โดยจะสรุปข้อมูลออกมาเป็นค่าเฉลี่ยทางสถิติและกราฟให้เข้าใจง่าย ๆ เหมาะแก่การนำไปวางแผนเพื่อปรับปรุงเว็บไซต์ต่อไป
การใช้งาน Google Analytics สำหรับคนทำ SEO
โดยทั่วไป SEO Specialist จะใช้ Google Analytics เพื่อสำรวจ Traffic และข้อมูลของ Audience ที่เข้ามาชมเว็บไซต์
Google Analytics สามารถแสดงผลการเข้าชมเว็บไซต์ได้แบบ Realtime
หากต้องการเช็กว่าผู้ชมที่มักกดเข้าชมเว็บไซต์ของเราเป็นคนกลุ่มไหน ทำได้โดยคลิกที่เมนู “Audience” และเลือก Filter ตามหมวดหมูที่คุณสนใจ เช่น Demographic, Interest หรือ Behavior นอกจากข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่องาน SEO Optimize แล้ว ยังสามารถนำมาทำ Custom Audience ได้อีกด้วย
2. Google Search Console – SEO Tools ที่ทุกคนต้องมี!
อันที่จริงแล้ว Google Search Console คือ เครื่องมือฟรีจาก Google ที่ใช้วิเคราะห์ระบบหลังบ้านของเว็บไซต์เช่นเดียวกับ Google Analytics แต่มีความแตกต่างกันเล็กน้อย กล่าวคือ Google Analytics จะแสดงผลข้อมูลโดยอิงจากพฤติกรรมของผู้ใช้งานเป็นหลัก (โฟกัสการที่คนคลิกเข้าชมเว็บไซต์) ในขณะที่ Google Search Console จะแสดงผลโดยอิงจากคำค้นหา (Keyword) และการถูกมองเห็นบนหน้า Google Search
การใช้งาน Google Search Console สำหรับคนทำ SEO
SEO Specialist จะใช้ Google Search Console เพื่อเช็ก Traffic ของเว็บไซต์ และเช็กว่าแต่ละหน้าอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่บน Google Search
สำรวจภาพรวมการเข้าถึง และอันดับโดยเฉลี่ย (Average Position) ได้ที่เมนู “Performance”
หากต้องการดูว่า หน้าไหน ติดอันดับบน google ด้วย Keyword ใด สามารถ Filter ข้อมูลด้วย URL ของหน้านั้น ๆ และเลื่อนดู “Queries” หรือคำที่ติดอันดับได้
ที่มา: https://www.megalytic.com/blog/google-search-console-data-that-agencies-should-share-with-clients
นอกจากนี้ ยังสามารถอัปเดต Sitemap ของเว็บไซต์ ผ่าน Google Search Console ได้
ที่มา: https://www.reliablesoft.net/submit-sitemap-to-google/
และสามารถตรวจสอบได้ว่า เว็บไซต์ของคุณรองรับการแสดงผลบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้ดีแค่ไหนผ่านเมนู “Mobile Usability”
3. ahrefs – สุดยอด SEO Tools มืออาชีพ
ahrefs คือ เครื่องมือที่รองรับงาน Technical Audit ของ SEO อย่างครอบคลุม ถือเป็น Third Party ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด เพราะสามารถสำรวจการทำ SEO ได้ทั้งบนเว็บไซต์ของตัวเองและเว็บไซต์ของคู่แข่ง อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ “หากคุณอยากรู้ว่าเว็บไซต์ของคู่แข่งติดอันดับด้วย Keyword อะไร แต่ละหน้าบนเว็บไซต์ของคู่แข่งมีประสิทธิภาพแค่ไหน และพวกเขาเขียน Blog เฉลี่ยกี่บทความต่อเดือน ahrefs สามารถเปิดเผยความลับเหล่านี้ให้คุณได้ เพียงจ่ายเงินอัปเกรดเป็น premium version เท่านั้น!”
การใช้งาน ahrefs สำหรับคนทำ SEO
หน้า Overview ของ ahrefs จะแสดงข้อมูลเชิงลึกต่าง ๆ ของเว็บไซต์ เช่น ค่า DA, PA, Referring Domains และจำนวน Traffic
ที่มา: https://ahrefs.com/site-explorer
คุณสามารถเช็กประสิทธิภาพของเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้มากกว่า 1 เว็บไซต์
ที่มา: https://ahrefs.com/dashboard
นอกจากนี้ สามารถเช็กประสิทธิภาพเชิงลึกของแต่ละหน้าเพจได้ ดังเช่นในตัวอย่าง คือ การเช็กว่า ในแต่ละหน้าเพจ มีปริมาณ Dofollow (ลิงก์ที่ส่งไปยังอีกเว็บไซต์หนึ่ง แล้ว Google นับคะแนนให้) และ Nofollow (ลิงก์ที่ส่งไปยังอีกเว็บไซต์ โดยปราศจากการนับคะแนน) มากน้อยแค่ไหน
ที่มา: https://ahrefs.com/blog/backlink-audit/
4. Yoast SEO
Yoast SEO คือ ปลั๊กอินสำหรับติดตั้งเป็นเครื่องมือเสริมใน WordPress ใช้วัดประสิทธิภาพการปรับแต่งหน้า Blog สำหรับการทำ SEO เช่น การกระจายตัวของ Keyword ในบทความ การใช้งาน Heading Tag (H1 – H6) อย่างถูกวิธี การเขียน Meta Description การกำหนด URL Slug เป็นต้น เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสติดอันดับมากยิ่งขึ้น
การใช้งาน Yoast SEO สำหรับคนทำ SEO
เมื่อคุณ Create เนื้อหาใน WordPress แถบ Yoast SEO จะวางอยู่ด้านล่างสุด
ที่มา: https://www.hostinger.com/tutorials/how-to-optimize-wordpress-yoast-seo
หากการปรับแต่งเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์อย่างมีข้อบกพร่อง Yoast SEO จะมีคำแนะนำขึ้นเตือน พร้อมแบ่งระดับคำเตือนด้วยสี 3 สี ได้แก่ สีเขียว (ดี) สีส้ม (พอใช้) และสีแดง (ควรแก้ไขโดยด่วน)
ที่มา: https://briteweb.com/insights/yoast-seo-plugin/
5. Screaming Frog
Screaming Frog คือ เครื่องมือช่วยสแกนหาลิงก์ที่ไม่สมบูรณ์ พร้อมทั้งตรวจสอบองค์ประกอบทั่วไปอื่น ๆ เช่น ความยาวของ Meta Description การ Redirect ไปยัง URL อื่น ๆ รวมถึงสามารถแสดงโครงสร้างของเว็บไซต์ (Sitemap) และสามารถตรวจสอบได้ว่า หน้าใดของเว็บไซต์ที่ Google ยังไม่ได้เข้ามาเก็บข้อมูล
การใช้งาน Screaming Frog สำหรับคนทำ SEO
คุณสามารถเช็กว่า Google เข้ามา Index ครบทุกหน้าแล้วหรือยัง โดยกรอก URL ของเว็บไซต์ แล้วเลื่อนดูที่ช่อง “Indexability”
ที่มา: https://www.screamingfrog.co.uk/seo-spider/user-guide/general/
นอกจากนี้ ยังสามารถคลิกดูข้อมูลเชิงลึกของแต่ละลิงก์ได้ เพียงคลิกบนลิงก์ที่คุณต้องการ
ที่มา: https://www.screamingfrog.co.uk/seo-spider-10/
สรุป
SEO Tools ทั้ง 5 โปรแกรมที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้กันแพร่หลายในงานเกี่ยวกับ SEO เท่านั้น ยังมีอีกหลากหลายเครื่องมือที่จะช่วยให้การทำ SEO ของคุณง่ายและเห็นผลเร็วขึ้น อย่าลืมศึกษาและสมัครใช้งาน เพื่อเรียนรู้วิธีการใช้งานแต่ละเครื่องมือให้มากที่สุด
อ้างอิง
Hubspot. 31 of the Best SEO Tools for Auditing & Monitoring Your Website in 2023
Available from: https://blog.hubspot.com/marketing/seo-analysis-tools
Comrade. Google Search Console vs. Google Analytics: 6 Key Differences
Available from: https://comradeweb.com/blog/google-search-console-vs-google-analytics/
Minutia. How to Use Ahrefs for Content & SEO: Beginner’s Guide for 2020
Available from: https://minuttia.com/ahrefs/