เป็นที่ทราบกันดีในหมู่คนทำ SEO ว่า อัลกอริทึมของ Google จะพิจารณาอันดับของเว็บไซต์บน Google Search ใหม่อยู่ตลอด จึงไม่แปลกหากหน้าเว็บไซต์ที่เคยติดอันดับสูง ๆ จะร่วงลงไปยังหน้า 2 – 3 ในอีกไม่กี่เดือนถัดมา นักการตลาดจึงจำเป็นต้อง Optimize คอนเทนต์ใหม่ตลอดเวลา เพื่อรักษาอันดับให้คงเดิม และในบทความนี้ เราจะมาสรุปขั้นตอนการทำ Content Optimization สำหรับหน้าบล็อกเว็บไซต์ที่ทำ SEO กัน!
Content Optimization คืออะไร
ที่มา: https://getgenie.ai/content-optimization-with-ai/
Content Optimization คือ การปรับปรุงโครงสร้างเนื้อหาบนหน้าบล็อกให้ดีขึ้น ตอบโจทย์ทั้งการหาข้อมูลของผู้ชม และการอ่านข้อมูลของอัลกอริทึม เพื่อรักษาอันดับบนหน้า Google Search ให้คงเดิม (หรือดีขึ้น!) และเพิ่มโอกาสในการสร้าง Conversion บนหน้าเว็บไซต์ต่อไป ทั้งนี้ สิ่งที่นักการตลาดส่วนใหญ่มักจะเมื่อถึงเวลา Optimize คอนเทนต์ ส่วนใหญ่จะเป็นการเพิ่มเนื้อหาใหม่ให้ยาวขึ้น ปรับปรุง Title และ Meta Description รวมถึงเพิ่มการกระจาย Keyword ให้ถูกตำแหน่งมากยิ่งขึ้น
Content Optimization สำคัญอย่างไร
ไม่เพียงแค่รักษาอันดับ SEO เท่านั้น แต่การทำ Content Optimization ยังมีความสำคัญในแง่อื่น ๆ อีก ดังจะอธิบายต่อไปนี้
ที่มา: https://thesearchguru.com/content-audit/
คุณสามารถปรับแต่งเนื้อหาเพื่อดึงดูดเฉพาะกลุ่มเป้าหมายได้
หลังการเผยแพร่คอนเทนต์ดราฟต์แรกลงบนหน้าบล็อก ข้อมูล Conversion ที่ได้มาจะเป็นตัวบ่งบอกว่า กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของคุณคือใคร และคุณก็สามารถทำ Content Optimization เพื่อปรับเนื้อหาให้เอื้อกับการค้นหาข้อมูลของพวกเขาได้ อาทิ หากกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ของคุณคือประชากร Baby Boomer เมื่อ Opzimize เนื้อหาใหม่ คุณอาจปรับการยกตัวอย่างสินค้าในบทความ ให้เป็นสินค้าที่เหมาะกับผู้สูงอายุมากขึ้น เป็นต้น
การทำ Content Optimization ดันอันดับได้เร็วกว่าการเขียนเนื้อหาใหม่
หากบทความดราฟต์แรกของคุณเคยติดอันดับบน Google Search แล้ว การปรับปรุงองค์ประกอบของบทความใหม่บางส่วน มักจะดันอันดับให้สูงขึ้นได้เร็วกว่าการทุ่มเขียนหน้าบล็อกขึ้นมาใหม่ เนื่องจากอัลกอริทึมจะมองว่า หน้าบล็อกดังกล่าวมีฐานผู้ชมอยู่ประมาณหนึ่งแล้ว และมีความน่าเชื่อถือมากกว่าหน้าบล็อกที่ยังไม่เคยมีคนเปิดอ่าน
การทำ Content Optimization คือโอกาสแก้ไขข้อผิดพลาด
ในบทความดราฟต์แรก อาจมีข้อผิดพลาดบางอย่างที่ตกสำรวจไป อาทิ คำที่เขียนผิด ประโยคที่อาจแล้วตีความได้มากกว่า 1 ความหมาย หรือการให้ข้อมูลผิด เป็นต้น ซึ่งการทำ Content Optimization จะทำให้คุณมีโอกาสแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านี้ได้
จะรู้ได้อย่างไร ว่าควรทำ Content Optimization เมื่อไหร่
โดยปกติแล้ว เอเจนซี่การตลาดหรือทีมงานที่ดูแลเรื่องการทำ SEO จะตรวจสอบอันดับของหน้าเว็บไซต์บน Google Search อยู่ตลอด และจะพิจารณาทำ Content Optimization เมื่อพบว่าอันดับมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง เช่น เคยติดหน้าแรก แต่ถูกดันลงไปอยู่หน้า 2 หรือหายไปจากหน้า Google Search เป็นต้น
5 ขั้นตอนการทำ Content Optimization ที่คุณต้องรู้!
หากคุณตรวจสอบอันดับบน Google Search แล้วพบว่า เว็บไซต์คู่แข่งมีอันดับแซงหน้าคุณไป ลอง Optimize บทความใหม่ใน 5 ขั้นตอน ดังนี้
ที่มา: https://asalede.cloneheads.net/category?name=web%20content%20optimization
1. กระจาย Keyword ใหม่อย่างมีกลยุทธ์
ในอดีตการอัด Keyword ลงไปให้ได้มากที่สุดอาจช่วยดันอันดับได้ แต่ปัจจุบันการทำเช่นนั้นไม่ได้ผลอีกต่อไป เพราะ Google ยึดประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้เป็นสำคัญ ดังนั้น คุณควรกระจาย Keyword อย่างมีกลยุทธ์ ด้วยการตรวจสอบว่ามี Keyword อยู่ครบตามตำแหน่งเหล่านี้หรือไม่
- ชื่อบทความ (Heading 1)
- Meta Description
- ย่อหน้าแรกของบทความ
- หัวข้อหลัก (Heading 2)
- URL Slug
>> อ่านเพิ่มเติม: 12 คำศัพท์ SEO พื้นฐาน สำหรับธุรกิจที่เริ่มทำ SEO
2. ลองเรียบเรียงชื่อบทความ (Title) และ Meta Description ใหม่
ตรวจสอบให้มั่นใจว่าชื่อบทความ (Title: Heading 1) และ Meta Description มี Main Keyword แทรกอยู่ในนั้นแล้วหรือยัง และที่สำคัญ อ่านกระชับและเข้าใจง่ายหรือไม่ หากยังสับสนและเรียงคำไม่ค่อยดี แนะนำให้เรียบเรียงใหม่ โดยใส่ Main Keyword ไว้เป็นอันดับแรก ๆ และหากมีพื้นที่เหลือ อาจแทรกชื่อแบรนด์ลงไป เพื่อให้คนมีโอกาสเจอชื่อแบรนด์มากขึ้นด้วย
3. ลองเพิ่มวิดีโอที่เกี่ยวข้อง เพื่อดึงดูดความสนใจ
การฝังวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาลงในหน้าเว็บไซต์ (Embed Link) นอกจากจะทำให้บทความดูน่าสนใจมากขึ้นแล้ว ยังเพิ่มโอกาสในการติดอันดับหน้าแรก ๆ บน Google Search อีกด้วย ทั้งนี้ หากไม่สะดวกฝังวิดีโอลงบนหน้าเว็บไซต์ คุณอาจพิจารณาเพิ่มรูปภาพประกอบบทความ (ขนาดไฟล์ไม่ใหญ่เกินไป) เพื่อดึงดูดให้ผู้ชมใช้เวลาบนหน้าเว็บไซต์นานขึ้น
4. ปรับแต่งการแสดงผล เพื่อประสบการณ์การอ่านที่ดีขึ้น
การเขียนบทความแบบบรรทัดต่อบรรทัด ยาวเรื่อยไปตั้งแต่บนสุดถึงล่าสุด อาจทำให้ผู้ที่คลิกเข้ามาชมไม่มีจุดพักสายตา จนรู้สึกเบื่อหน่ายและพาลคลิกออกจากเว็บไซต์อย่างรวดเร็ว ดังนั้น แนะนำให้คุณวางรูปภาพคั่นเนื้อหาแต่ละย่อหน้าบ้าง หรืออาจใช้ตัวจัดรูปแบบพิเศษ เช่น บล็อกเครื่องหมายคำพูด สัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อย เส้นคั่นหน้า ฯลฯ เพื่อทำให้บทความน่าอ่านยิ่งขึ้น
5. เพิ่ม Internal และ External Links
การทำ Internal Links เพื่อลิงก์ไปหาหน้าอื่น ๆ ในเว็บไซต์ และการทำ External Links เพื่อลิงก์ไปยังเว็บไซต์อื่น นอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้อ่านคลิกชมหน้าอื่น ๆ บนเว็บไซต์ของคุณแล้ว ยังเพิ่มความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาของคุณเองกับเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของเว็บไซต์คุณภาพสำหรับอัลกอริทึมอีกด้วย
สรุป
การทำ Content Optimization คือ การปรับปรุงเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น เปรียบเสมือนการอัปเดตเวอร์ชันใหม่ของ OS ต่าง ๆ อย่างไรก็ดี แม้การทำ Content Optimization จะมีเป้าหมายเพื่อรักษาอันดับบน Google Search แต่ก็ควรโฟกัสไปที่การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ชม มากกว่าการปรับปรุงโครงสร้างบางประการ เพื่อสนับสนุนการทำงานของอัลกอริทึม
อ้างอิง
Wordstream. 9 Content Optimization Strategies That Increase Traffic (& Conversions!)
Available from: https://www.wordstream.com/blog/ws/2023/09/18/content-optimization
Semrush. The Art of Content Optimization: The Complete 2023 Guide
Available from: https://www.semrush.com/blog/content-optimization-guide/