7P (Marketing Mix)

7P (Marketing Mix) คือแนวคิดสำคัญสำหรับนักการตลาดหรือผู้ประกอบการธุรกิจที่ต้องทำงานด้านการวางกลยุทธ์การตลาด Digital Marketing หรือการทำ Social Media Marketing ที่คุณจำเป็นที่จะต้องศึกษาและเรียนรู้

แต่เชื่อว่านักการตลาดและผู้ประกอบการหลายท่านน่าจะคุ้นเคยกับ 4Ps (Marketing Mix) กันมาบ้างแล้วในบทความก่อน ซึ่งการวางกลยุทธ์แบบ 7P (Marketing Mix) นั้นก็จะมีความซับซ้อนบางอย่างที่มากกว่าและสามารถช่วยการวางกลยุทธ์ให้ธุรกิจของคุณได้อย่างครอบคลุมกว่านั่นเอง 

ในบทความนี้เราเลยขอมาอธิบายเกี่ยวกับ 7Ps คืออะไร พร้อมวิเคราะห์ตัวอย่างสินค้า 7P มีอะไรบ้าง เพื่อเป็นส่วนช่วยให้การวางกลยุทธ์เพื่อธุรกิจของคุณมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ไปติดตามกันได้เลย

7P หรือ 7PS (Marketing Mix) คืออะไร 

7P หรือ 7PS (Marketing Mix) คือแนวคิดส่วนผสมทางการตลาดในการทำธุรกิจเพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถคิดค้นกลยุทธ์ที่จะทำให้สินค้าของคุณเป็นที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและก็ต้องแตกต่างและโดดเด่นกว่าสินค้าของคู่แข่งด้วยเหมือนกัน 

ซึ่ง 7P Marketing Mix เป็นแนวคิดที่ได้รับการต่อยอดมาจาก 4P Marketing Mix โดยการเพิ่มปัจจัยมาอีก 3 ข้อโดย 7P มีอะไรบ้างนั้น เราได้ทำการลิสต์ให้คุณเข้าใจเป็นข้อ ๆ ดังนี้

  • Product คือ สินค้าและบริการของธุรกิจ
  • Price คือ การตั้งราคาสินค้าหรือบริการของธุรกิจ
  • Promotion คือ วิธีการส่งเสริมการขายของธุรกิจ
  • Place คือ ช่องทางในการให้ขายและให้บริการ 
  • People คือ การจัดการเกี่ยวกับพนักงานหรือทรัพยากรด้านบุคคล
  • Process คือ กระบวนการในการทำงาน
  • Physical Evidence  คือ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ลูกค้าที่มาใช้บริการต้องพบเจอ

อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ 4P (Marketing Mix) ได้ที่ 4P คืออะไร

7P (ส่วนผสมการตลาด) ประกอบด้วยอะไรบ้าง 

7P (ส่วนผสมการตลาด) นั้นจะมีอยู่ 4 ปัจจัยที่เหมือนกับแนวคิด 4P นั่นก็คือ Product, Price, Place, Promotion และส่วนที่เพิ่มเข้ามาก็คือ People, Process และ Physical Evidence ซึ่งแต่ละอย่างนั้นมีรายละเอียดดังนี้

7p หรือ 7Ps

1.ผลิตภัณฑ์ (Product)

Product คือสินค้าและบริการของธุรกิจ เหมือนกับแนวคิด 4P ทุกประการแต่ถ้าพูดถึง 7P แล้ว Product นั้นจะไม่ได้โฟกัสแค่สินค้าและบริการแต่เพียงอย่างเดียวแต่จะรวมไปถึงลักษณะของสินค้าที่จะสามารถสื่อให้ลูกค้าเห็นถึงความเป็น Branding ของคุณ  

ซึ่งนักการตลาดจำเป็นต้องหา Insight และทำการสร้าง Customer Persona ก่อนว่าลักษณะของลูกค้าที่ธุรกิจต้องการคือใคร มีความชอบแบบไหน พฤติกรรมเป็นอย่างไร หรือลองศึกษาดูจาก Feedback ของลูกค้าที่เคยใช้งานสินค้าและบริการของธุรกิจคุณมาก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยให้สินค้าและบริการของคุณเป็นที่ต้องการในมุมมองของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

การวางแผน Product เพื่อพัฒนากลยุทธ์ Digital Marketing ของแบรนด์นั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงหลักสำคัญ 4 ปัจจัยได้แก่

  • Core Product – คุณค่าหลัก/คุณค่าพื้นฐานที่ผู้ซื้อจะได้รับคืออะไร
  • Product Attribute – จุดเด่นของผลิตภัณฑ์นั้นมาจากอะไร มีคุณสมบัติอย่างไร ลักษณะทางกายภาพ ขนาด จุดเด่น ความงาม ความคงทน ฯลฯ
  • Product Feature – ฟีเจอร์ของผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคมีอะไรบ้าง
  • Product Benefit – ประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ของคุณที่ผู้บริโภคจะได้รับคืออะไร

2. ราคา (Price)

Price หรือราคาคือนโยบายด้านราคาของแต่ละธุรกิจเพื่อนำมาเป็นรูปแบบในการตั้งราคาของสินค้าและบริการที่จะกระจายออกไปจำหน่ายในตลาด ซึ่งการตั้งราคานั้นมีความสำคัญต่อการโน้มน้าวใจของผู้บริโภคให้เห็นถึงสินค้าและบริการของธุรกิจคุณมากขึ้นเป็นอีกหนึ่งวิธีในการสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ 

ดังนั้นหากธุรกิจตั้งราคาสินค้าหรือบริการไว้สูงแต่คุณภาพของสินค้าและบริการที่ดีเยี่ยมมีความเหมาะสมกับราคาที่ตั้งเอาไว้ลูกค้าก็จะเต็มใจจ่าย แต่ถ้าสินค้าและบริการดูไม่ค่อยมีคุณภาพแต่คุณกลับตั้งราคาให้สูงเพื่อหวังเอาแต่ผลกำไรอย่างเดียวฝั่งลูกค้าเองก็อาจไม่เต็มใจในการจ่ายหรืออาจเปลี่ยนไปซื้อสินค้าและบริการจากฝั่งคู่แข่งของคุณแทน

โดยเราขอแนะนำกลยุทธ์ในการตั้งราคาให้สินค้าและบริการที่เหมาะสม เพื่อให้คุณสามารถนำเอากลยุทธ์เหล่านี้ไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณต่อไปได้ 

  • การตั้งราคาตามแนวภูมิศาสตร์ (Geographical Pricing) – เป็นการกำหนดราคาโดยการพิจารณาถึงต้นทุนด้านการขนส่งไปยังตลาดตามภูมิภาคต่าง ๆ
  • การตั้งราคาให้แตกต่างกัน (Discrimination Pricing) – เป็นการตั้งราคาให้แตกต่างกันตามลักษณะของลูกค้าหรือความต้องการซื้อของลูกค้า
  • กลยุทธ์การตั้งราคาตามหลักจิตวิทยา (Psychological Pricing) – เป็นการตั้งราคาที่คำนึงถึงความรู้สึกทางจิตวิทยาของผู้ซื้อ เช่น ตั้งลงท้ายด้วยเลขคี่ เลขคู่ ลงท้ายด้วยเลข 9 เป็นต้น
  • การตั้งราคาสำหรับสินค้าใหม่ (New Product Pricing) – เป็นการตั้งราคาสินค้าใหม่ให้ถูกกว่าปกติเพื่อให้ผู้บริโภคเปิดใจและทดลองใช้สินค้าของคุณ 
  • การตั้งราคาส่วนประสมผลิตภัณฑ์ (Product Mix Pricing) – เป็นการตั้งราคาที่ผู้ผลิตมีสินค้าหลายชนิด ซึ่งจะต้องคำนึงให้มีกำไรรวมสูงสุด
  • การตั้งราคาเพื่อส่งเสริมการตลาด (Promotion Pricing) – เป็นการตั้งราคาเพื่อการทำโปรโมชัน เช่นลดราคาพิเศษ ลดราคาตามเทศกาลสำคัญ
  • นโยบายการให้ส่วนลดและส่วนยอมให้ (Discount And Allowances) – เป็นการลดราคาสินค้าและบริการลงเพื่อให้ลูกค้าหันมาซื้อสินค้าของคุณ
  • นโยบายระดับราคา (The Level of Price Policy) – เป็นการตั้งราคาโดยการประเมินจากระดับราคาของสินค้าและบริการที่เหมือนกันในตลาดโดยจะตั้งให้ถูกลง สูงกว่า ก็ได้ 
  • นโยบายราคาเดียวกับนโยบายหลายราคา (One Price Policy and Variable Price Policy) – เป็นการตั้งราคาสินค้าบางชนิดไว้แล้วเพียงราคาเดียว แต่การขายให้กับลูกค้าแต่ละรายได้ด้วยราคาไม่เท่ากันขึ้นกับความสามารถของผู้ซื้อในการต่อรองราคา
  • นโยบายแนวระดับราคา (Price Lining Policy) – เป็นนโยบายในการผลิตสินค้าประเภทเดียวกัน แต่มีระดับคุณภาพแตกต่างกัน ขายให้กับผู้ซื้อโดยตั้งราคาระดับต่าง ๆ

3. ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place)

Place คือสถานที่ที่คุณจะทำการขายสินค้าและบริการของคุณเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งในปัจจุบันนั้นช่องทางการจัดจำหน่ายนั้นก็ไม่ได้มีเพียงแต่ช่องทาง Offline อย่างเดียวแต่ยังมีช่องทาง Online ต่าง ๆ เพิ่มเข้ามาเช่น เว็บไซต์, แอปพลิเคชัน, ยิงแอด Social Media หรือ Omni Channel เป็นต้น

อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ omni channel ได้ที่ omni channel คือ 

ซึ่งความสำคัญของช่องทางการจัดจำหน่าย (Place) ถือเป็นตัวกลางที่จะทำให้ธุรกิจของคุณได้ยอดขายและกำไรจากการทำธุรกิจดังนั้นจึงต้องหันมาสนใจเรื่องของช่องทางจัดจำหน่ายไม่แพ้ปัจจัยอื่น ๆ ของ 7Ps Marketing Mix เลย

เช่น คุณอาจจะมีหน้าร้านขายของเป็นของตัวเองแต่ก็ได้เพิ่มช่องทางเว็บไซต์ธุรกิจของตัวเอง พร้อมกับหน้า Shopping Site ที่ลูกค้าสามารถหยิบสินค้าตัวไหนก็ได้ลงตะกร้าพร้อมจ่ายเงินผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทันที

ซึ่งตรงนี้ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าธุรกิจของคุณนั้น เป็นธุรกิจแบบ B2C (Business To Customer ธุรกิจที่ขายสินค้าและบริการให้กับลูกค้า) หรือ B2B (Business To Business ธุรกิจที่ขายสินค้าและบริการให้กับธุรกิจด้วยกัน) เพราะจะได้ช่วยให้คุณสามารถออกแบบช่องทางในการจัดจำหน่ายได้อย่างเหมาะสมที่สุด

อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับการยิงแอด tiktok ได้ที่ ยิงแอด tiktok 

4. การส่งเสริมการตลาด (Promotion)

Promotion คือวิธีการที่ธุรกิจใช้สื่อสารกับลูกค้าหรือธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของคุณ ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นส่วนที่บริษัทต้องวางกลยุทธ์ตามปัจจัยในเรื่องของ STP – Segmentation, Targeting & Positioning ของธุรกิจของคุณนั้นเอง 

โดยที่ปัจจัยตัวนี้จะส่งผลกับธุรกิจมากหรือน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจช่องทางที่จะทำการตลาดให้สินค้าและบริการของคุณ เพราะอย่างที่กล่าวไปในข้อที่แล้วว่าแต่ละช่องทางในการขายนั้นลักษณะและพฤติกรรมของผู้บริโภคจะมีความแตกต่างกัน ซึ่งคุณจะต้องรู้จัก Communication Tools ที่จะช่วยทำให้การส่งเสริมการตลาดผ่านกลยุทธ์ต่าง ๆ ของธุรกิจคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเราจะยกตัวอย่างเป็นกลยุทธ์ต่าง ๆ ดังนี้

  • กลยุทธ์ทางการตลาดแบบดิจิทัล (Digital Marketing)
  • กลยุทธ์การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Media Marketing) 
  • กลยุทธ์การตลาดผ่าน Search Engine (SEO Marketing)
  • กลยุทธ์การยิงแอด (Facebook Ads) 
  • กลยุทธ์การตลาดผ่านอีเมล (Email Marketing)
  • กลยุทธ์การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM)

อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับการยิงแอด line (Line Ads platform) ได้ที่  ยิงแอด line 

 5. การจัดการคนหรือพนักงาน (People)

People คือปัจจัยในเรื่องของการจัดการคนหรือพนักงานของบริษัท เพื่อทำให้พนักงานของธุรกิจคุณสามารถสื่อสารหรือปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าในขณะระหว่างการซื้อขายหรือบริการก่อนและหลังการขายกับลูกค้า ซึ่งเป็นอีกส่วนที่จะสามารถช่วยโน้มน้าวใจเพิ่ม User Experience ให้ลูกค้าหันมาซื้อสินค้าและบริการของธุรกิจคุณได้ดีอีกวิธีหนึ่ง 

ซึ่งในการทำ Digital Marketing นั้นการมีส่วนร่วมหรือความช่วยเหลือของพนักงานส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าได้ ไม่ว่าจะเป็นการตอบอีเมลหรือตอบข้อความบนเว็บไซต์หรือการเลือกใช้ Chatbot ในการช่วยตอบข้อความแบบอัตโนมัติก็ได้เช่นกัน 

โดยที่บอกว่าเรื่องคนสำคัญกับการทำธุรกิจเพราะว่าถึงแม้เวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร มีเทคโนโลยีเข้ามาแค่ไหน พฤติกรรมของผู้บริโภคก็มักต้องการการสื่อสารกับ ‘มนุษย์’ ด้วยกันอยู่ดี ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้นหลาย ๆ บริษัทอาจจะมีทำหน้า FAQ (หน้าตอบคำถามที่พบบ่อยของธุรกิจ) ไว้ แต่อย่าลืมว่าลูกค้าแต่ละคนย่อมมีความแตกต่าง ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบเหล่านั้นอาจจะไม่เพียงพอสำหรับพวกเขาก็ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อ User Experience ของลูกค้าอย่างแน่นอน

ดังนั้นบริษัทในยุค Digital ควรคำนึงถึงความสำคัญของฝ่าย Human Resource และฝ่ายบริการ Support ลูกค้าให้มากขึ้น โดยมีจุดที่คุณต้องให้ความสำคัญเรื่องของการจัดการคนและพนักงานที่เราอยากแนะนำดังนี้

  • การคัดเลือกพนักงาน – มีการสัมภาษณ์และทำแบบทดสอบที่ต้องทำให้คุณมั่นใจว่าพนักงานคนนี้จะสามารถเข้ามาสร้างประโยชน์ให้บริษัทได้จริง
  • การอบรมพนักงาน – มีการจัดอบรมให้แก่พนักงานเพื่อเป็นการสอนให้พนักงานได้รู้จักทักษะในการบริการ, การต่อรองต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการขายสินค้าและบริการของธุรกิจคุณ
  • การจัดการ Complain ลูกค้า – ต้องมี Process ในการรับฟัง Feedback ของลูกค้าเพื่อนำมาปรับปรุงการให้บริการของพนักงาน 
  • การรับมือกับจำนวนลูกค้า – ควรมีแผนในการรับมือกับจำนวนของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นเมื่อธุรกิจของคุณได้รับความนิยมเพื่อให้ลูกค้าทุกคนได้รับการบริการที่เท่าเทียมกันทั้งหมด

6. กระบวนการ (Process)

Process คือวิธีการหรือกระบวนการที่ธุรกิจเลือกใช้ในการทำงานเพื่อเข้าถึงและประยุกต์ใช้ทางการตลาดให้กับธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสินค้า การโปรโมทแบรนด์ หรือแม้แต่การเข้าถึงลูกค้าโดยการใช้ Customer Service ใด ๆ ก็ตาม 

โดยการออกแบบ Process หรือกระบวนการที่ดีนั้นจะช่วยให้คุณสามารถเข้าใจลูกค้าได้มากขึ้น และสร้าง Customer Experience ได้ดียิ่งขึ้นเพราะคุณสามารถรู้ Customer Journey ของลูกค้าได้ตั้งแต่แรกว่าในแต่ละขั้นตอนลูกค้ามีความต้องการอะไรบ้างและยังช่วยในการปิดช่องโหว่ที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกหรือประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อธุรกิจของคุณ

ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นเว็บไซต์ขายสินค้าแบบ E-Commerce ก็ควรต้องรู้ว่าหลังจากลูกค้ากดซื้อสินค้าในหน้าเว็บไซต์แล้ว หน้าต่อไปที่จะให้ลูกค้าเห็นควรต้องเป็นเว็บไซต์อะไร (เช่นหน้า Thank You หรือเป็นหน้า Landing Page ใหม่ขึ้นมาเลย) เป็นต้น ดังนั้นการให้ความสำคัญในเรื่อง Website Design หรือ UI/UX ของเว็บไซต์จึงเป็นเรื่องจำเป็นบวกกับความเร็วและคุณภาพของ Customer Service ของธุรกิจคุณก็ล้วนเป็นกระบวนการที่จะทำให้ลูกค้าเกิดประสบการณ์ที่ดีต่อธุรกิจของคุณเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น

 7. สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical Evidence) 

Physical Evidence คือการสร้างประสบการณ์ที่จับต้องได้ที่ลูกค้าได้รับจากธุรกิจของคุณหรือแม้แต่สินค้าและบริการของคุณด้วยเช่นกันซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดภาพลักษณ์ของแบรนด์และสร้าง Customer Experience ให้ลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าหรือบริการของคุณไปแล้วกลับมาใช้บริการใหม่อีก หรือเป็นการสร้างความรู้สึกให้ลูกค้าเห็นว่าแม้สินค้าของคุณจะมีราคาค่อนข้างสูงแต่ก็รู้สึกคุ้มค่าในการซื้อ 

แต่ในฝั่งของ Digital Marketing การสร้างสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical Evidence) ก็คือการที่แบรนด์ใส่ใจกับการสร้างเว็บไซต์ที่มีดีไซน์สวยงาม ใช้งานง่าย โหลดได้อย่างรวดเร็ว มีฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่เหมาะกับความต้องการของลูกค้า (Website Development & Website Design) รวมถึงการที่มี Customer Support เช่นหน้า FAQ, เบอร์โทรศัพท์, อีเมล Chatbot ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถถามข้อมูลที่สงสัยได้ตลอด 24 ชม. ก็เป็นหนึ่งในการสร้าง Customer Experience ที่ดีนั่นเอง

ทำไมธุรกิจควรทำความรู้จักกับ 7P 

  • ช่วยให้ธุรกิจรู้จักและเข้าใจสินค้าและบริการของตัวเองมากกว่าแนวคิด 4Ps
  • ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างยอดขายและกำไรจากการขายสินค้าและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ช่วยให้ธุรกิจรู้จักความต้องการของกลุ่มลูกค้าของตัวเองมากขึ้น
  • ช่วยให้ธุรกิจได้วางแผนกลยุทธ์การตลาดได้ดีขึ้น
  • ช่วยให้ธุรกิจได้ตัดสินใจการทำงานในแต่ละแคมเปญได้ดี
  • ผนวกรวมกับกลยุทธ์การตลาดอื่น ๆ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ธุรกิจได้ เช่น 4Ps, SWOT, Five Forces, เป็นต้น
  • ช่วยให้ธุรกิจสร้างการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด

อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SWOT ได้ที่ SWOT คือ

ตัวอย่างการวิเคราะห์กลยุทธ์ 7P

เราลองมาดูตัวอย่างการวิเคราะห์กลยุทธ์ 7P กันบ้างว่าเมื่อจะต้องนำแนวคิดนี้ไปใช้งานจริงแล้ว จะต้องมีวิธีคิดอย่างไรถึงจะทำให้การวิเคราะห์กลยุทธ์นั้นถูกต้อง โดยเราจะยกตัวอย่างจากธุรกิจประเภทโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต

1. ตัวอย่างการวิเคราะห์กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ (Product)

คุณได้ทำการเปิดรีสอร์ต A เป็นรีสอร์ตเปิดใหม่ที่อยู่ในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีคู่แข่งอยู่เยอะมากที่ละแวกใกล้เคียงกันโดยเริ่มแรกคุณอาจจะต้องทำการพัฒนารีสอร์ตของคุณให้มีศักยภาพที่เหนือกว่าคู่แข่งเช่น ทำมุมถ่ายรูปสวย ๆ, ออกแบบห้องพักให้สวยงาม มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ฯลฯ

และมีบริการที่ทำให้ลูกค้าที่มาพักต้องประทับใจ เช่น มีบริการรถรับส่งจากรีสอร์ตไปสนามบิน สามารถนำสัตว์เลี้ยงเข้าพักได้ มีพนักงานดูแลความสะอาดในทุกจุดของรีสอร์ต ซึ่งคุณได้ทำการสำรวจมาแล้วว่าเป็นบริการที่คู่แข่งในละแวกใกล้เคียงของคุณไม่มี

2. ตัวอย่างการวิเคราะห์กลยุทธ์ราคา (Price)

ออกแบบราคาให้เหมาะสมกับที่พัก มีการจัดโปรโมชันห้องพักลดราคาในช่วงเทศกาลสวนทางกับรีสอร์ตอื่น ๆ ที่มักจะปรับราคาให้สูงในช่วงเทศกาล มีการเข้าร่วมแคมเปญกับบัตรเครดิตต่าง ๆ เป็นต้น

3. ตัวอย่างการวิเคราะห์กลยุทธ์ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place)

สร้างเว็บไซต์ที่สามารถจองห้องพักได้ทันทีในหน้าเว็บไซต์ สร้าง Social Media ต่าง ๆ เช่น LINE Official Account, Facebook Page และมีการเข้าร่วมกับแพลตฟอร์มจองห้องพักใน Online Platform เช่น Agoda, Booking.com, Traveloka เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถหาและรู้จักรีสอร์ตของคุณได้เยอะขึ้น

4. ตัวอย่างการวิเคราะห์กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด (Promotion)

มีการสร้าง Content ถ่ายรูปภาพและวิดีโอเพื่อลงโปรโมทในช่องทาง Social Media ของคุณเพื่อให้ลูกค้าได้เห็นถึงบรรยากาศของรีสอร์ตของคุณก่อนการตัดสินใจเข้าพัก มีการจ้างให้ Influencer, Blogger มาช่วยรีวิวให้เห็นถึงการเข้าพักในรีสอร์ตของคุณผ่านทางแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Pantip หรือ Blog ส่วนตัวเพื่อช่วยในการทำ SEO ให้รีสอร์ตของคุณถูกค้นหาเจอได้ง่ายขึ้นผ่านการค้นหาบน Google ที่เป็น Search Engine 

5. ตัวอย่างการวิเคราะห์การจัดการคนหรือพนักงาน (People)

มีการจัดคอร์สให้อบรมด้านการบริการสากลให้กับพนักงานทุกคนไม่ว่าจะเป็นพนักงานต้อนรับ พนักงานธุรการ พนักงานทำความสะอาด ฯลฯ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจในการบริการของพนักงานที่รีสอร์ตนี้ มีการสร้างกฎระเบียบให้พนักงานปฏิบัติเมื่อถึงเวลาปฏิบัติหน้าที่ หรือสร้างระบบให้ลูกค้าประเมินการให้บริการเพื่อนำ Feedback ต่าง ๆ มาทำการพัฒนาปรับปรุงการให้บริการของรีสอร์ตต่อไป

6. ตัวอย่างการวิเคราะห์กระบวนการ (Process)

มีการออกแบบหน้าเว็บไซต์สำหรับการจองห้องพักให้ลูกค้าสามารถกรอกข้อมูลและจองห้องได้ในเวลารวดเร็ว ไม่ต้องกรอกข้อมูลเยอะ หน้าเว็บโหลดเร็ว มีภาพของห้องพักแต่ละราคาให้ลูกค้าได้ดูในหน้าของการจองเพื่อประกอบการตัดสินใจได้ง่าย และเมื่อลูกค้ากดจองห้องแล้วก็มีระบบการชำระเงินที่หลากหลาย ดำเนินการรวดเร็ว รวมถึงการติดตั้ง Automation Tool สำหรับการส่งอีเมลเพื่อยืนยันการจองไปยังอีเมลของลูกค้าโดยอัตโนมัติ

7. ตัวอย่างการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical Evidence) 

ในหน้า Contact และ Footer ส่วนล่างของเว็บไซต์มีการให้ช่องทางติดต่อไว้อย่างชัดเจน เบอร์โทรศัพท์, อีเมล Chatbot ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถถามข้อมูลที่สงสัยได้ตลอด 24 ชม. หรือสามารถโทรศัพท์เข้ามาสอบถามการจองห้องพักกับทางรีสอร์ตได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไปจนถึงเรื่องการดูแลรีสอร์ตของคุณให้สะอาด สวยงาม ดูแลห้องพักแต่ละห้องให้น่าพัก ดูแลการแต่งกายและท่าทางการพูดของพนักงาน ออกแบบโลโก้แบรนด์ การตกแต่ง หรือกลิ่นภายในบริเวณ Lobby และห้องพักให้ลูกค้าเกิดความประทับใจมากที่สุด

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ 4P 

4P กับ 7P ต่างกันอย่างไร 

7P Marketing Mix นั้นอย่างที่เราบอกไปว่าจะมีการวิเคราะห์ปัจจัยเพิ่มเข้ามาอีก 3 ปัจจัยที่จะครอบคลุมไปยังปัจจัยในด้านกายภาพของธุรกิจด้วยไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน พนักงาน กระบวนการทำงานและการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีเพื่อให้ลูกค้าประทับใจจนกลับมาใช้งานธุรกิจของเราอีกหลายรอบ (หรือเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีในการใช้งาน) แต่กลับกัน 4P ที่มีแค่ Product, Price, Promotion และ Place จะเน้นไปที่การพัฒนาตัวสินค้าทำสินค้าให้ขายได้ ทำอย่างไรให้ลูกค้าสนใจและซื้อเท่านั้น

7p vs. 4p

สรุปเนื้อหา 7P

สำหรับธุรกิจที่นำเอากลยุทธ์การตลาด 7Ps Marketing Mix มาปรับใช้กับการพัฒนาสินค้าและบริการของตัวเองนั้นนอกจากจะช่วยให้สินค้าและบริการของธุรกิจคุณตอบโจทย์กับผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจได้สามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานให้กับลูกค้าอีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองจะช่วยทำให้ลูกค้าเก่าของคุณไม่หนีจากคุณไปไหนและเต็มใจที่กลับมาใช้งานสินค้าหรือบริการของธุรกิจคุณซ้ำไปเรื่อย ๆ  อีกทั้งยังช่วยเพิ่มว่าที่ลูกค้ารายใหม่เข้ามาหาธุรกิจคุณได้อีกมากมาย

10 body languages for presentation
Marketing Psychology
ลิสต์ 10 ภาษากายเพื่อการพรีเซนต์งาน สำหรับพนักงานมือโปร 

Topic Summary คนทำงานเตรียมแชร์ไว้ 10 ภาษากายเพื่อการพรีเซนต์งาน เพิ่มสกิลการเป็นมือโปร และทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในตัวคุณ! ในบรรดาความรู้เรื่อง Body Language ทั้งหมด ภาษากายที่ใช้ในการพรีเซนต์งาน…

body languages
Marketing Psychology
เช็กก่อนใคร! ตำแหน่งของ Body Language ตัวช่วยอ่านพฤติกรรมคนจากภาษากาย

Topic Summary อยากรู้ไหม? เวลาอ่านใจคนจากภาษากาย ตำแหน่งของ Body Language ส่วนใดบ้างที่คุณต้องดู และแต่ละตำแหน่งมีความสำคัญอย่างไร ใคร ๆ ก็อยากเชี่ยวชาญการอ่านใจคนด้วยภาษากาย…

what is psychology of pricing
News
เข้าใจจิตวิทยาราคา พร้อมแจกกลยุทธ์การตั้งราคา ให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อเร็วกว่าที่เคย

เพิ่งเปิดธุรกิจใหม่ ควรตั้งราคาอย่างไรดี Digital Tips แชร์เทคนิคการตั้งราคาตามหลักจิตวิทยา พร้อมเคลียร์ชัดความหมายของจิตวิทยาราคา อ่านแล้วเข้าใจได้ทันที! Content Summary  จิตวิทยาราคา คือ การกำหนดราคาสินค้าโดยอ้างอิงจากการรับรู้ทางจิตวิทยา…