Click Through Rate หรือ CTR คือ Metrics ค่าชี้วัดที่สำคัญต่อการทำงานโดยเฉพาะใครที่ทำการตลาดดิจิทัลทั้งผ่านการยิงแอด Facebook ยิงแอด Line หรือการยิงแอด Social Media ตัวอื่น ๆ เพราะ CTR คืออัตราการคลิกต่อการเห็นโฆษณา โดยข้อมูลจะแสดงในรูปแบบเปอร์เซ็นต์ ถ้าค่า CTR สูงหมายความว่าการยิงแอดของคุณได้รับผลตอบรับที่ดี
แต่สำหรับนักการตลาดมือใหม่ Click-Through Rate หรือ CTR น่าจะเป็นอีกหนึ่งคำศัพท์ที่คุณยังสงสัยในการทำงานอยู่ว่า จริง ๆ แล้วมีความหมายอย่างไรและมีการคำนวณอย่างไรถึงจะเหมาะสมกับการยิงแอดและทำการตลาด
ในบทความนี้ Digital Tips เลยจะมาอธิบายแบบหมดเปลือกว่า CTR หรือ Click Through Rate คืออะไร สำคัญต่อการยิง Ads อย่างไรบ้าง มีวิธีการทำงานและการคำนวณ CTR Facebook อย่างไรให้คุณนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์และใช้งานต่อได้มากที่สุด
CTR คืออะไร
CTR หรือ Click Through Rate คือ ค่าสัดส่วนของจำนวนผู้คนที่เห็นโฆษณาและคลิกเข้ามาหาเรา เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการดูอัตราการคลิกโฆษณา หรือ เว็บไซต์ ต่อจำนวนการเห็นของผู้ใช้งานทั่วไปในอินเทอร์เน็ต ช่วยทำให้เรารู้ว่าโฆษณาและคอนเทนต์ที่เราได้ทำการยิงแอดไปนั้น มีประสิทธิภาพและผลลัพธ์เป็นอย่างไร ทำได้ดีแค่ไหน
โดยคุณสามารถเช็กค่า CTR หรือ Click Through Rate ได้จากหน้า Dashboard ของบัญชีที่ใช้ยิงโฆษณาเช่น Facebook Business Manager ซึ่งการประเมินผลนั้นให้คุณจำไว้ว่ายิ่งค่า CTR สูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่คนจะคลิกโฆษณาของเราง่ายขึ้นมากเท่านั้น
สูตรคำนวณ CTR
ในการเช็กผลลัพธ์ค่า CTR นั้นจะมีสูตรการคำนวณที่เป็นสูตรสากลในการคำนวณผลลัพธ์ของแคมเปญการยิงแอดหรือการทำการตลาดของเรา โดยสูตรของ CTR คือ (Click/Impression)*100 จะได้ออกมาเป็นค่า CTR ถ้า CTR = 20% (ตัวอย่างแพลตฟอร์ม : เว็บไซต์) ก็จะนำผลลัพธ์ที่ได้มาอธิบายได้ง่าย ๆ ว่า มีจำนวนคนเห็น (Impression) 1,000 คน – คนคลิก(Click) 200 คน นั่นหมายความว่ายิ่งเปอร์เซ็นต์ CTR สูงเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อธุรกิจของคุณ เพราะว่าเมื่อมีคนคลิกเข้าเว็บไซต์จำนวนมาก
และแน่นอนว่าเมื่อมีจำนวนคนคลิกเข้าเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้น หรือ CTR เพิ่มขึ้นนั้นก็ช่วยให้ธุรกิจของคุณได้ยอดขายเพิ่มขึ้นไปด้วย เพราะ ถ้า CTR เพิ่ม = Traffic เพิ่มและถ้า Traffic เพิ่ม = ธุรกิจได้ยอดขายเพิ่มจากจำนวนคนที่เข้ามายังเว็บไซต์ที่มากขึ้นนั่นเอง
CTR (Click Through Rate) สำคัญอย่างไร
CTR หรือ Click Through Rate มีความสำคัญต่อการทำการตลาดดิจิทัลในปัจจุบันมากเพราะถือว่าเป็นค่าที่จะทำให้เรารู้ว่าโฆษณา บทความ หรือการทำ SEO ที่เราได้ทำลงไปนั้นมีผลลัพธ์เป็นอย่างไร กลุ่ม Target Audience ของเราให้ความสนใจหรือไม่ มีคนคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของเรามากแค่ไหน ซึ่งทั้งหมดที่เรากล่าวมานั้นสามารถช่วยให้คุณนำมาปรับปรุงหรือพัฒนาการยิงแอดโฆษณา, การทำ Social Media Marketing และปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดของคุณได้ในโปรเจกต์ถัดไปได้
และนอกจากนั้น CTR (Click Through Rate) ยังมีความสำคัญต่อการเช็ก Quality Score หรือคะแนนคุณภาพที่เป็นอีกหนึ่ง Metrics ใน Google Ads ที่ช่วยบอกว่า Keyword ที่เราใช้ในการทำ SEO หรือ SEM นั้นมีคุณภาพมากแค่ไหนและตรงกับสิ่งที่คนต้องการค้นหาหรือเปล่าโดยสัมพันธ์กับ CTR ตรงที่
- หากคุณเช็กแล้วว่า CTR (Click Through Rate) สูงก็จะทำให้ Quality Score สูงขึ้นโดยอัตโนมัติ
- หาก Quality Score ของคุณสูงก็จะช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงหรือรักษาตำแหน่งโฆษณาด้วยต้นทุนที่ต่ำลง (เพราะ Quality Score สูงหมายถึงอันดับโฆษณาสูงขึ้น เว็บไซต์จะปรากฏบ่อยขึ้น และค่าคลิกถูกลง)
นอกจากนี้ หากคุณกำลังโฆษณาบน Search Engine หรือ SEM อยู่ การได้ค่า CTR ที่สูงหมายความว่าคุณกำลังดึงดูดผู้คนให้มายังโฆษณาและกดเข้าเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
CTR ที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร บ่งบอกอะไรได้บ้าง
สำหรับค่า CTR (Click Through Rate) ที่ดีนั้นจะมีความแตกต่างกันไปตามรูปแบบการทำโฆษณาหรือการยิงแอดของคุณตามแต่ละแพลตฟอร์ม ไม่สามารถใช้วิธีการเดียวกันได้ทั้งหมด (ซึ่งเราจะอธิบายในหัวข้อถัดไป)
จากรูปตัวอย่างด้านบน CTR ที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมของคุณ ตัวอย่างเช่น สำหรับทนายความและบริการด้านกฎหมาย CTR โดยเฉลี่ยคือ 3.85% ดังนั้น CTR ที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมนี้อาจอยู่ที่ 5-6% สำหรับธุรกิจด้านความบันเทิง CTR โดยเฉลี่ยคือ 10.67% ดังนั้น CTR ที่ดีสำหรับธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้จะอยู่ที่ 11-12% หรือพูดง่าย ๆ ว่าให้บวกเพิ่มจากของที่เราควรจะได้ไปอีกสัก 2-4% จึงจะเหมาะสมที่สุด
แต่อย่างไรก็ตามในการวิเคราะห์ว่าค่า CTR ตัวเลขประมาณไหนถึงดีที่สุดนั้น เราแนะนำว่าคุณควรต้องทำการ Research ข้อมูลหาค่า CTR มาตรฐานของธุรกิจในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ก่อนเสมอถึงจะพอทำให้คุณได้เห็นภาพรวมของตัวเลข CTR ที่ดีในแต่ละอุตสาหกรรม
CTR ส่งผลเสียต่อธุรกิจในกรณีใด
หากพูดถึงค่า CTR ในการทำ Google Ads นั้น คุณต้องจำไว้เลยว่าหาก Keyword ที่คุณเลือกนำมาใช้หรือเนื้อหาคอนเทนต์ในเว็บไซต์นั้นไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ หรือไม่ได้เป็น Keyword ที่นำไปสู่การสร้างยอดขาย โอกาสในการขาย (Conversion) ต่อให้ได้ CTR (Click Through Rate) ที่สูงก็จะไม่ได้ผลลัพธ์อะไรเลยต่อธุรกิจ และคุณอาจจะยังต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มจากค่า Cost Per Click ที่สูงขึ้นด้วย
ดังนั้นก่อนที่จะโฟกัสที่ตัวเลขของค่า CTR คุณต้องโฟกัสกับการทำโฆษณา, การออกแบบเนื้อหาในแอด หรือการตกแต่งเว็บไซต์ให้น่าดึงดูดและใช้งานง่ายเสียก่อน เพราะถ้าลูกค้าเกิดประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของคุณหลังจากที่กดเข้ามา ก็จะเป็นเรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นลูกค้าต่อไป
ตัวอย่างการวิเคราะห์ค่า CTR สำหรับโฆษณา
มาถึงในส่วนนี้เราจะขอพาทุกคนมาทำความเข้าใจกับการวิเคราะห์ค่า CTR สำหรับโฆษณาในแต่ละแพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน เพื่อเป็นตัวอย่างให้ทุกคนได้เข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของ CTR ที่สัมพันธ์กับ Ad Rank หรือคะแนน ที่จะนำมาจัดลำดับว่าโฆษณาของเราอยู่ในลำดับที่เท่าไรของ Ranking
ค่า CTR ในการโฆษณา Facebook Ads
CTR Facebook นั้นจะเป็นส่วนที่ให้เราได้เห็นผลลัพธ์ของค่า CTR สำหรับการทำโฆษณา Facebook เพื่อดูว่าโฆษณาแต่ละตัวของเรามีอัตราการคลิกดูเท่าไหร่ มีความน่าสนใจ และตรงตามเป้าหมายที่คุณตั้งไว้มากน้อยแค่ไหน
สำหรับค่า CTR ในการโฆษณา Facebook Ads นั้นให้คุณเข้าไปเช็กดูที่หลังบ้าน Facebook Business Manager แล้วดูค่าเฉลี่ย CTR เปรียบเทียบกับแอดทุกตัวที่กำลังรันอยู่ ถ้าตัวไหนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ให้มองว่าแอดตัวนั้นแหละที่เป็นตัวที่ไม่ดีและต้องรีบปรับปรุง
ต่อมาเมื่อคุณเห็นแล้วว่าตัวไหน CTR ไม่ดี ก็จะต้องมาทำการ Optimize CTR ให้ดีขึ้นซึ่งวิธีที่เราแนะนำก็คือ หันมาย้อนดูแอดที่เราโฆษณาอยู่ว่ามีจุดบกพร่องตรงไหน อะไรบ้างทั้งในเรื่องของ Artwork และ Captions แล้วค่อยมาวิเคราะห์ปรับทีละจุด โดยตัวอย่างการปรับโฆษณาเมื่อรู้ว่า CTR Facebook ต่ำเราจะขอแนะนำดังนี้
- การปรับ Copywriting – สำหรับการปรับการเขียน Copywriting ให้น่าดึงดูดนั้นจะมีเทคนิคการเขียนแคปชันขายของหลากหลายวิธีมาก ซึ่งคุณอาจจะลองเทคนิคต่าง ๆ เช่น การเล่นกับกระแสไวรัล หรือ การยกข้อดีมาพูดตั้งแต่พารากราฟแรก ฯลฯ ก็อาจทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจในตัวโฆษณาของคุณมากขึ้นและจะช่วยเพิ่ม CTR Facebook ได้
- การปรับรูปภาพ – แนะนำให้มองในมุมลูกค้าว่าถ้าพวกเขาซื้อสินค้าของคุณไป พวกเขาจะได้อะไร ควรจะต้องสื่อข้อความนั้นออกมาอย่างเด่นชัดและครบถ้วน
- การปรับ Call To Action (CTA) – การเขียนคำที่จะส่งไปยัง Conversion อาจจะต้องดึงดูดมากกว่านี้และกระชับเข้าใจง่าย
ค่า CTR ในการโฆษณา Google Ads
การวิเคราะห์ค่า CTR ในการโฆษณา Google Ads นั้นอันดับแรกคุณต้องทำความเข้าใจเรื่อง Google Ads ก่อนคือผู้คนส่วนใหญ่มา Search Google เพราะต้องการหาคำตอบในการแก้ปัญหาอะไรบางอย่างให้กับตัวเอง ดังนั้นวิธีการวิเคราะห์และช่วยเพิ่ม CTR สำหรับ Google Ads คือการคิดคำโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่นั้นค้นหาข้อมูลอยู่ เช่น
- Search คอร์สเรียน Facebook Ads >> Text Ads คอร์สเรียน Facebook Ads…..
- Search คอนโดสามย่าน >> Text Ads คอนโดสามย่าน…..
- Search ร้านอาหาร สีลม >> Text Ads ร้านอร่อย สีลม…..
ซึ่งจากสถิติรูปภาพด้านบนสามารถยืนยันได้เลยว่าตำแหน่งของเว็บไซต์ที่ทำ Google Ads อยู่ในอันดับ 1 จะได้ค่า CTR สูงสุดกว่า 2 เท่าของเว็บไซต์ที่อยู่ในอันดับ 2 และอันดับที่ต่ำกว่าทั้งหมด ดังนั้นถ้าคุณอยากที่จะไต่อันดับการทำ Google Ads ของเว็บไซต์ให้ไปอยู่ในอันดับ 1 ก็จะวนไปที่เรื่องของการจัดอันดับ (Ad Rank) ของ Google Ads ซึ่งส่วนนี้จะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยคือ CPC Bid (ราคาต่อคลิก) และ Quality Score (คะแนนคุณภาพของ Ads ที่เราโฆษณาอยู่)
เมื่อเห็นแบบนี้แล้วก็คงไม่แปลกว่าถ้าต้องการไต่อันดับคุณก็ต้องทำให้เว็บไซต์ได้ค่า CTR ที่สูงขึ้นเสียก่อน โดยวิธีในการทำให้ได้ค่า CTR สูงขึ้นนั้นเราแนะนำว่าให้ใส่ Keyword ใน Text Ads และปรับแต่งข้อความ Text Ads ให้น่าสนใจมากขึ้นก็จะช่วยในส่วนนี้ได้ (หลักการคล้ายกับการปรับแต่ง Ads ของ CTR Facebook ในข้อ 1)
ค่า CTR ในการโฆษณา Email Marketing
ในการทำการโฆษณา Email Marketing ให้ประสบความสำเร็จนั้นค่า CTR เป็นค่าที่มีความสำคัญที่สุดจากการสำรวจของ SuperOffice CRM เพราะการโฆษณา Email Marketing ที่ดีนั้นต้องเริ่มจากการที่มีคนเปิดหรือคลิกดูอีเมลของเราก่อน โดยการคิดค่า CTR สำหรับ Email Marketing จะอิงตามจำนวนของอีเมลที่เราได้ส่งออกไป โดยมีสูตรคือ Email CTR = (Click/Delivered Email) x 100 หรือ อัตราการเปิด = (จำนวนการเปิด/อีเมลที่ถูกส่ง) x 100
ซึ่งถ้าคุณลองคำนวณค่า CTR Email Marketing แล้วพบว่ามีอัตราที่ต่ำไปหรืออยากปรับปรุงให้ดีขึ้น เราแนะนำว่าให้ลองปรับเปลี่ยนการตั้งชื่อ Title ของอีเมลรวมถึงคำอธิบาย (Description) ของอีเมลฉบับนั้น ๆ ด้วย เพราะถือเป็นจุดแรกที่จะทำให้ผู้รับเห็นความน่าสนใจของเนื้อหาอีเมลของคุณและกดเข้าไปอ่าน จากนั้นก็ต้องออกแบบคอนเทนต์ภายในอีเมลให้น่าดึงดูด อธิบายสั้นกระชับ พร้อมมี CTA ให้ผู้ที่ได้รับอีเมลกดเข้าไปยังปลายทางที่ต้องการได้อย่างชัดเจน ก็จะช่วยเพิ่ม CTR ให้กับการทำ Email Marketing ของคุณได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท!
ค่า CTR สำหรับ SEO
คุณรู้หรือไม่ว่าอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้การทำอันดับ SEO ของเว็บไซต์ขยับขึ้นได้ก็คือเรื่องของค่า CTR นี่แหละ โดยค่า CTR ของการทำ SEO เราสามารถดูได้จากเครื่องมืออย่าง Google Search Console ซึ่งทำให้คุณสามารถวิเคราะห์ Keyword และ เว็บไซต์ได้ว่ามีจำนวนการถูกเห็นเท่าไหร่ มีจำนวนการค้นหามากแค่ไหน และอัตราการคลิกเยอะหรือน้อยเพียงใด
สำหรับการทำ SEO คอนเทนต์ประเภทบทความยิ่งมีค่า CTR ที่สูงก็หมายความว่าเราสามารถเลือกหัวข้อออกมาได้อย่างน่าสนใจจนทำให้ผู้ใช้ Google ในการค้นหาตาม Keyword นั้น ๆ เห็นหัวข้อแล้วอยากจะกดคลิกเข้ามาอ่านแต่ถ้าหากคอนเทนต์ไหนที่มีค่า CTR ต่ำก็แปลว่าบทความนั้นอาจจะเขียนหัวข้อ (Title Tags) หรือ Meta Description ออกมาได้ยังไม่น่าสนใจมากพอ
โดยจากตัวอย่างด้านบนคุณจะเห็นได้เลยว่าเว็บไซต์ที่อยู่อันดับที่ 1 จะมีค่า CTR สูงที่สุดและสูงมากกว่าเว็บไซต์ที่ติดอันดับ 2 กว่า 1 เท่าตัว นั่นแสดงว่าถ้าอยู่อันดับที่ 1 จะได้ Traffic เข้าเว็บที่มากกว่าอันดับอื่น ๆ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อได้ Traffic เยอะโอกาสที่จะได้ Leads, Conversion, หรือการนำข้อมูลไปทำการ Retargeting ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตาม
ดังนั้นสำหรับใครที่เช็กค่า CTR ของเว็บไซต์ที่มีการทำ SEO แล้วพบว่ายังมีค่าเฉลี่ย CTR ที่น้อยอยู่ วิธีการแก้ไขปรับปรุงก็คือการปรับเปลี่ยน Title Tags และ Meta Description ให้น่าดึงดูดมากขึ้น ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นเทคนิคที่เราอยากแนะนำมากที่สุดเพราะจะช่วยเพิ่มค่า CTR ให้กับเว็บไซต์ของคุณได้จริง
คำถามที่เกี่ยวข้องกับ CTR
Click-Through Rates แตกต่างจาก Conversion Rate อย่างไร
CTR กับ Conversion Rate ทั้งสองคำนี้มีความหมายที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงโดยค่า CTR คือค่าสัดส่วนของจำนวนผู้คนที่เห็นโฆษณาและคลิกเข้ามาหาเรา เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการดูอัตราการคลิกโฆษณาหรือเว็บไซต์ต่อจำนวนการเห็นของผู้ใช้งานทั่วไปในอินเทอร์เน็ต
แต่ Conversion Rate คือค่าเฉลี่ยอัตราส่วนของการเข้าชมเนื้อหาในเว็บไซต์ที่กลายเป็นการกระทำกิจกรรมใด ๆ ก็ตามที่ธุรกิจนั้น ๆ ให้คุณค่า
ซึ่งต้องบอกเลยว่าแม้เว็บไซต์หรือโฆษณาของคุณจะได้ค่า CTR สูงนั่นไม่ได้หมายความว่าจะได้ Conversion Rate สูงตามไปด้วย เพราะ CTR วัดค่าจำนวนคนที่เห็นและคลิก Ads เข้ามาแต่ไม่ได้ชี้วัดยอดปิดการขายหรือลงทะเบียน ดังนั้นถ้าคุณต้องการหา Metrics ที่ทำให้ธุรกิจได้รายได้และกำไรจึงต้องโฟกัสที่ Conversion Rate มากกว่า
CTR Google แตกต่างจาก CTR Facebook อย่างไร
CTR Google แตกต่างจาก CTR Facebook ตรงที่แพลตฟอร์มที่เป็นช่องทางในการทำโฆษณาและค่าเฉลี่ย CTR มาตรฐาน โดยค่าเฉลี่ย CTR ของ Google Search คือ 2-3% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย CTR Facebook ร้อยเท่าตัว นอกจากนี้ค่าเฉลี่ย CTR ของ Google Search ก็อาจพุ่งสูงถึง 30% หรือมากกว่าซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอันดับของ Ads ที่แสดงในหน้าการค้นหา (SERP) ด้วย
ส่วนค่าเฉลี่ย CTR ของ Facebook คือ 0.51% ต้องบอกก่อนว่าค่านี้ไม่ใช่ตัวเลขที่ Facebook เปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการ แต่เป็นตัวเลขที่มีคนทำวิจัยจากการเก็บข้อมูลแคมเปญโฆษณาใน Facebook จำนวน 11,000 กรณีศึกษา แล้วนำมาวิเคราะห์จนได้ตัวเลขเฉลี่ยออกมาเป็นค่านี้
ซึ่งค่าเฉลี่ย CTR ของ Facebook เป็นตัวเลขที่น้อยกว่า Google มาก เพราะ Facebook มีรูปแบบโฆษณาและการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายมาก ๆ ทำให้เจาะจงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มจริง ๆ จึงมีปริมาณค่า CTR ที่น้อยกว่า Google ที่ไม่สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายของการทำโฆษณาได้ละเอียดเท่า Facebook นั่นเอง
ทำไมนักการตลาดออนไลน์ควรรู้จัก CTR
เพราะการที่นักการตลาดสามารถใช้ CTR ไปทำประโยชน์ทางธุรกิจได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอัตราการคลิกดูอีเมลหรือดูอัตราการคลิก Call to Action ที่เราทำการใส่ไว้ใน Landing Page นอกจากนี้ค่า CTR ยังช่วยนักการตลาดให้สามารถวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น หากเรามีการยิงแอด Facebook แล้วพบว่ามีค่า CTR ของแคมเปญน้อย ก็จะทำให้เราพอจะวิเคราะห์ข้อมูลได้ว่าเป้าหมายที่เราตั้งอาจไม่ใช่ลูกค้าของเราหรือ Content ในแอดของเราอาจจะยังไม่ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายมากพอ ฯลฯ
ข้อสรุปของ CTR
CTR คือตัวชี้วัดที่สำคัญมาก ๆ ของการทำการตลาดดิจิทัลในธุรกิจทุกอุตสาหกรรมในตอนนี้และเป็น Metrics ที่จะทำให้คุณสามารถปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต ที่นักการตลาดทุกคนควรต้องเรียนรู้และศึกษาตั้งแต่ตอนนี้
ทาง Digital Tips หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจเรื่อง CTR คืออะไร รวมถึงเทคนิคในการเพิ่ม CTR ของช่องทางยอดนิยมที่เราได้ยกตัวอย่าง ไปปรับใช้กับการทำการตลาดดิจิทัลของธุรกิจคุณกันได้ไม่มากก็น้อย
อ้างอิงข้อมูล
WordStream, Click-Through Rate (CTR): Understanding Click-Through Rate for PPC, https://www.wordstream.com/click-through-rate
Dave Chaffey, 2022 comparison of Google organic clickthrough rates (SEO CTR) by ranking position, Aug 29, 2022 https://www.smartinsights.com/search-engine-optimisation-seo/seo-analytics/comparison-of-google-clickthrough-rates-by-position/
Engage, Click To Open Rate vs Click Through Rate: How to Track the Results of Your Email Marketing Campaigns, Nov 10, 2021
https://engage.so/blog/click-to-open-rate-vs-click-through-rate-how-to-track-the-results-of-email-marketing-campaigns/