cpm คือ

สำหรับคนที่ทำการตลาดออนไลน์ หรือ Digital Marketing อาจจะคุ้นเคยกับเมตริก (Metric) หรือหน่วยที่ใช้ในการวัดผลลัพธ์ของการยิงแอด Facebook, Instagram, TikTok ไปจนถึงการทำ Paid Search บน SEM เช่น CPM, CPC หรือ CPA และในวันนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับเมตริกที่นักการตลาดจะมีโอกาสใช้บ่อยที่สุด นั่นคือ CPM หรือ Cost Per Thousand Impressions 

แล้ว CPM คืออะไร ต่างจาก CPA และ CPC อย่างไร มีองค์ประกอบสำคัญอย่างไร รวมถึงใช้ตรวจสอบคุณภาพการยิงแอดโฆษณาได้อย่างไรบ้าง วันนี้ Digital Tips รวบรวมเนื้อหาสาระสำคัญที่ควรรู้เกี่ยวกับ CPM มาฝากแล้ว ลองไปดูคำตอบพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า
อ่านเนื้อหาเพิ่มเติม: SEM คืออะไร



CPM คืออะไร 

CPM คืออะไร

Cost Per Thousand Impressions หรือ CPM คือ ต้นทุนค่าโฆษณาที่ต้องจ่ายต่อการแสดงผลโฆษณา 1,000 ครั้ง โดยตัวย่อ “M” ใน CPM แทนคำว่า “Mille” ซึ่งเป็นภาษาละตินที่แปลว่า “พัน” นั่นเอง ทั้งนี้  CPM  นับเป็นหนึ่งในหลายวิธีที่ใช้ในการกำหนดราคาโฆษณาออนไลน์ โดยวิธีอื่น ๆ ที่ใช้ร่วมด้วยก็จะมี CPC หรือ CPA ซึ่งเราจะพูดถึงความแตกต่างในหัวข้อต่อ ๆ ไป


Impressions กับ Page Views ต่างกันอย่างไร

เมื่อเอ่ยถึงค่า CPM จะมีคำสำคัญ 2 คำที่คุณจำเป็นต้องทำความเข้าใจ นั่นคือ Impression และ Page View ซึ่งทั้งสองคำมีความแตกต่างกันดังนี้

  • Impression หมายถึง จำนวนครั้งที่มีคนเห็นโฆษณา โดยจะนับจำนวนการดูซ้ำของผู้ชมแต่ละคนด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากโฆษณาแสดงผลไปแล้วทั้งสิ้น 1,000 ครั้ง แม้ว่าจะมีคนเห็นแค่เพียง 500 คน ค่า Impression ก็จะเท่ากับ 1,000 อยู่ดี
  • Page View หมายถึง จำนวนครั้งที่มีคนที่มีคนคลิกเข้ามาชมเว็บไซต์ของคุณ โดยจะนับจำนวนการดูซ้ำเช่นเดียวกับ Impression ตัวอย่างเช่น หากเว็บไซต์ของคุณมีจำนวนคลิกเข้าชมทั้งสิ้น 1,000 ครั้ง แม้ว่าจะเกิดจากคนไม่ถึง 1,000 คนคลิกดูเว็บไซต์ของคุณหลาย ๆ ครั้ง ค่า Page View ก็จะเท่ากับ 1,000 อยู่ดี

แล้ว Impression และ Page View เกี่ยวข้องกับค่า CPM อย่างไร?

คำตอบคือ เกี่ยวข้องในแง่ของการคิดค่าโฆษณา เนื่องจากในการยิงแอดบนเว็บไซต์บางประเภทอย่าง GDN (Google Display Network) สามารถวางแบนเนอร์โฆษณาได้มากกว่า 1 ตำแหน่งบนหน้าเว็บไซต์เดียว ซึ่งหมายความว่า แม้จะวัดอัตราการเข้าชมได้เพียง 1 Page View แต่สำหรับอัตราการมองเห็นโฆษณา อาจจะวัดได้มากกว่า 1 Impression ก็ได้


ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “CPM”

ต้นทุนต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง (CPM) เป็นผลลัพธ์ของการทำการตลาดออนไลน์ที่นิยมใช้กันเพื่อกำหนดราคาของการยิงแอดโฆษณา โดยจะคิดค่าโฆษณาก็ต่อเมื่อมีการเห็นโฆษณานั้น ๆ ในทุก ๆ 1,000 ครั้ง ซึ่งผู้ยิงแอดสามารถกำหนดตำแหน่งที่ต้องการให้แสดงโฆษณา และจ่ายเงินทุกครั้งที่โฆษณาปรากฏได้

ยกตัวอย่างการทำงานของโฆษณาแบบ CPM บนแพลตฟอร์มยอดนิยม คือ Google Ads ที่การยิงแอดแบบ CPM จะต้องแข่งขันกับโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก หรือ CPC ซึ่งโฆษณาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเท่านั้นจึงจะถูกนำไปแสดงบนหน้าเว็บไซต์ต่าง ๆ แต่การแสดงผลลัพธ์แบบ CPM จะไม่ได้ถูกวัดว่าโฆษณาถูกคลิกหรือไม่แบบการยิงแอดแบบ CPC

Click Through Rate หรือ CTR คือ ค่าสัดส่วนของจำนวนผู้คนที่เห็นโฆษณาและคลิกเข้าเว็บไซต์ จะเป็นเมตริกที่ใช้ในการวัดผลว่ามีการคลิกโฆษณาหรือไม่ ใครที่ทำโฆษณาแบบ CPM จึงมักจะวัดความสำเร็จของแคมเปญจาก CTR ที่เกิดขึ้นด้วย เช่น โฆษณาได้รับคลิก 2 ครั้งสำหรับการแสดงผลทุก ๆ 100 ครั้งจะมี CTR 2% เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม: ยิงแอดคืออะไร (การยิงแอดโฆษณา)

เราจะคำนวณค่าใช้จ่ายแบบ CPM อย่างไร 

CPM Calculation

การคำนวณค่าใช้จ่ายแบบ CPM ทำได้โดยใช้สูตรคำนวณ CPM Calculation คือ 1000 x Cost/Impression = CPM ยกตัวอย่างเช่น คุณมีงบประมาณในการทำโฆษณา 50,000 บาท มีจำนวนผลของการแสดงโฆษณาทั้งหมด 200,000 ครั้ง เมื่อทำการคำนวณหา  CPM ก็จะเท่ากับ 1000 x 50,000 / 200,000 = 250


CPM CPA และ CPC แตกต่างกันอย่างไร 

จากเนื้อหาที่กล่าวมาในข้างต้น เราได้รู้จักกับเมตริกหลายตัวด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น CPM (Cost Per Thousand Impressions), CPA (Cost Per Acquisition) และ CPC (Cost Per Click) มาดูกันว่าแต่ละตัวแตกต่างกันอย่างไร และใช้งานในจุดประสงค์อะไรบ้าง

CPA (Cost Per Acquisition)

CPA ย่อมาจาก Cost Per Acquisition 

CPA คือ การคิดค่าโฆษณาต่อ 1 การกระทำ เช่น เกิดการสมัครสมาชิกจนทำให้ได้ Lead คือ กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย, ลงทะเบียน, สั่งซื้อและอื่น ๆ ทำให้เห็นจำนวนเงินที่ใช้จ่ายต่อ Conversion ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถทำการพิจารณาว่าการได้มาของลูกค้าหนึ่งรายจะมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ หากมีค่าใช้จ่ายที่แพงเกินไปก็จะสามารถปรับเปลี่ยนแคมเปญที่เหมาะสม ทำให้ได้มาซึ่ง Conversion ที่ต้องการในราคาที่ถูกลง

CPC (Cost Per Click)

CPC ย่อมาจาก Cost Per Click 

CPC คือ ต้นทุนต่อคลิก พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ หากมีคนคลิกโฆษณาของคุณไม่ว่าใน Placement ใดก็แล้วแต่ คุณจะต้องทำการจ่ายค่าโฆษณาจากคลิกที่เกิดขึ้น แต่คุณสามารถกำหนดได้ว่า ราคาต่อคลิกนี้จะอยู่ที่เท่าไหร่ อาทิ ลูกค้าคลิกโฆษณาเข้ามาในราคาที่กำหนดไว้ เช่น คลิกละ 1 บาท หรือคลิกละ 5 บาท เป็นต้น โดยราคานี้จะต้องทำการ Bidding แข่งขันกับเจ้าอื่น ๆ ด้วย 

สำหรับวัตถุประสงค์ของการยิงแอดแบบ CPC คือ การนำลูกค้าไปสู่ขั้นตอนต่อไปในกระบวนการอื่น ๆ บนเว็บไซต์ เช่น ซื้อสินค้า ลงทะเบียน เป็นต้น แน่นอนว่า เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกทางหนึ่งด้วย

CPM (Cost Per Thousand Impressions)

Cost Per Thousand Impressions หรือ CPM คือ ต้นทุนต่อการแสดงผลพันครั้ง หรือตามจำนวนครั้งที่โฆษณาปรากฏขึ้น แทนที่จะคิดต่อครั้ง หรือคิดจากการแปะป้ายโฆษณาเหมือนในอดีต อย่างไรก็ดี การทำโฆษณาในรูปแบบนี้จะไม่ได้รู้ผลลัพธ์ว่ามีคนคลิกจากโฆษณาเท่าไหร่เหมือนกับ CPC หรือมีคนกระทำบางอย่างเพื่อให้เกิด Conversion ตามที่ต้องการอย่าง CPA 

แต่ผู้โฆษณาที่เลือกยิงแอดแบบ CPM ส่วนใหญ่จะมีวัตถุประสงค์ที่ไม่ได้มุ่งถึงยอดขายที่จะปรากฏในปัจจุบัน แต่ต้องการสร้างแบรนด์ สร้างภาพลักษณ์ ทำให้เกิดการจดจำ (Brand Awareness) ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญของการทำ Marketing Funnel และหวังว่าจะช่วยทำให้ลูกค้านึกถึงแบรนด์ของตนเองจากการเห็นบ่อย ๆ ในสื่อต่าง ๆ ที่ใช้อยู่เป็นประจำ


ข้อดีของการทำ CPM 

  • การตั้งค่าผลลัพธ์โฆษณาแบบ CPM ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์: หากคุณยังไม่ได้เริ่มทำ SEO การยิงโฆษณาแบบ CPM ก็เป็นกลยุทธ์การตลาดอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยสร้างการจดจำให้กับแบรนด์ (Brand Awareness) ให้กับธุรกิจที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ได้มากขึ้น
  • ได้ Lead ที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจสูง: เนื่องจากคุณสามารถกำหนดเป้าหมายโฆษณาแบบ CPM ได้ค่อนข้างละเอียด จึงมีโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มที่มีโอกาสเป็นลูกค้าได้ค่อนข้างแม่นยำ เหมาะสำหรับองค์กรที่กำลังขยายกลุ่มเป้าหมายและต้องการสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์
  • สร้างพื้นที่ให้กับแบรนด์ในอุตสาหกรรมที่ทำ: หากการทำ Content Marketing คือ เนื้อหาของโฆษณาแบบดิสเพลย์ในแคมเปญ CPM มีคุณภาพสูง ผู้คนก็จะเริ่มพูดถึงแบรนด์ ทำให้แบรนด์ได้กระแสจากพื้นที่เหล่านี้มากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเป็น Top of Mind ในอุตสาหกรรมที่ทำอยู่ได้รวดเร็วขึ้นด้วย

รูปแบบการแสดงผลของ CPM มีอะไรบ้าง

รูปแบบการแสดงผลของ CPM มี 2 ประเภทด้วยกัน ดังนี้

Monetized Views

Monetized Views คือ ยอดวิวที่ช่วยสร้างรายได้ ซึ่งยอดรายได้นี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการกดเข้าไปหรือกดดูโฆษณาค้างไว้เป็นระยะเวลาหนึ่ง ทำให้เกิดยอดวิวที่สร้างรายได้ขึ้นมา โดยรูปแบบการแสดงผลในรูปแบบนี้จะเห็นได้ในช่องทาง YouTube

การแสดงผล CPM

ที่มาภาพ: vloggerpro.comImage name :

Non-Monetized Views

Non-Monetized Views คือ ยอดวิวที่ไม่สร้างรายได้ หรือก็คือไม่มีการกดดูหรือเลื่อนผ่าน ทำให้ Placement นั้น ๆ ไม่ได้รายได้จากการโฆษณา


องค์ประกอบสำคัญของ CPM

ตำแหน่งโฆษณา

ตำแหน่งของโฆษณา CPM นั้นมีมากมายหลายรูปแบบขึ้นอยู่ว่าคุณยิงโฆษณาในแพลตฟอร์มใด ยกตัวอย่างเช่น 

ตำแหน่งโฆษนา CPM
  • การโฆษณาบน Google Ads จะสามารถโฆษณาแบบข้อความหรือแบบรูปภาพก็ได้บนเครือข่ายของทาง Google ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์พาร์ทเนอร์หรือผลิตภัณฑ์ของ Google เอง
  • การทำโฆษณาบน YouTube ก็มีตำแหน่งการแสดงโฆษณาแบบคั่นวิดีโอที่ผู้ชมกำลังรับชมอยู่ เช่น โฆษณาแบบบัมเปอร์ยาว 6 วินาที (หรือสั้นกว่า) และเล่นก่อน ระหว่างเล่น หรือหลังจากวิดีโออื่น, โฆษณาสตรีมแบบข้ามไม่ได้ยาว 15 วินาที (หรือสั้นกว่า) และเล่นก่อน ระหว่างเล่น หรือหลังจากวิดีโออื่น

รูปแบบโฆษณา

รูปแบบของโฆษณา CPM จะออกแบบมาให้สอดคล้องกับแพลตฟอร์มแต่ละแพลตฟอร์มและจุดประสงค์ ไปจนถึงสิ่งที่จะต้องการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น โฆษณาบน Google Ads จะมีทั้งการโฆษณาแบบข้อความ, ดิสเพลย์ หรือถ้ายิงแอดบน Youtube ก็จะมีในรูปแบบของวิดีโอเพิ่มเข้ามาด้วย

Image name : cpm-ads-format

Alt text : รูปแบบโฆษนา CPM

ตัวอย่างการทำโฆษณาบน Google Ads ในรูปแบบข้อความ

ตัวอย่างยิงโฆษณา CPM

เปรียบเทียบแคมเปญ CPM อย่างไร

แคมเปญโฆษณาในรูปแบบ CPM นั้นเป็นอย่างไรเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับการทำแคมเปญโฆษณาในรูปแบบอื่น ๆ?

ยกตัวอย่างเช่น การทำโฆษณาในรูปแบบ CPM ปกติแล้วจะมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่ากลยุทธ์ทางการตลาดแบบอื่น ๆ เช่น การทำการตลาดด้วยโฆษณาแบบ CPC ทำให้ธุรกิจสามารถแสดงผลลัพธ์ด้านการมองเห็น (Impression) โดยใช้งบประมาณที่น้อยกว่า แต่อย่างไรก็ตามก็อาจจะวัดผลลัพธ์ด้านการมองเห็นเหล่านี้ว่าส่งผลต่อยอดขาย ความพึงพอใจ การกระทำอื่น ๆ เหมือนกับที่สามารถวัดผลได้จากการทำ CPC หรือ CPA ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยากกว่า การยิงแอดแบบ CPM  จึงมีประโยชน์ต่อการสร้างการรับรู้ของแบรนด์เป็นหลักมากกว่าการส่งเสริมการขาย


ใช้ CPM เช็กคุณภาพการยิงแอดโฆษณาของเราได้อย่างไร

การตรวจสอบ CPM

การยิงโฆษณาที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องใช้ Data Driven เข้ามาเป็นส่วนประกอบ ไม่เช่นนั้นการยิงโฆษณาอาจไม่มีคุณภาพและไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ตามที่แบรนด์ต้องการได้ ดังนั้น จึงควรตรวจสอบคุณภาพของการยิงแอดโฆษณาให้แม่นยำมากขึ้น ด้วยการเช็กข้อมูลดังต่อไปนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์แอดแบบ CPM ของคุณจะมีประสิทธิภาพตามที่ต้องการ 

  1. ตรวจสอบว่าค่า CPM สูงเกินไปหรือไม่ เพราะ CPM ที่สูงอาจบ่งชี้ว่ากลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการยิงแอดนั้นแคบหรือไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ดังนั้น จึงควรตรวจสอบว่า…
    1. การกำหนดเป้าหมายเจาะจงเกินไปหรือไม่
    2. ไม่ได้ใส่ข้อมูล Demograghic ที่ควรใส่หรือไม่
    3. หัวข้อที่คุณเลือกกำหนดเป้าหมายหรือยกเว้น มีอิทธิพลต่อกลุ่มเป้าหมายมากกว่าที่คุณคาดไว้หรือไม่
    4. สร้างกลุ่มเป้าหมายที่ทับซ้อนกันในหลายแพลตฟอร์ม และใช้คอนเทนต์ที่เหมือน ๆ กัน ทำให้กลุ่มเป้าหมายเห็นแอดในรูปแบบเดิมซ้ำ ๆ หรือไม่
    5. คุณทำการยกเว้นเครือข่ายหรืออุปกรณ์บางประเภทไปหรือไม่ เพราะบางเครือข่ายหรืออุปกรณ์นั้นอาจทำให้ค่าแอดถูกลงได้
  2. ตรวจสอบรายละเอียดของรายงานจากการยิงแอดโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น การยิงแอดเพื่อทำ Social Media Marketing อย่างการยิงแอดบน Facebook หากยิงโฆษณาที่มีโฆษณาวิดีโอและภาพนิ่งผสมกันในชุดโฆษณาเดียวกัน แต่มีการกำหนดเป้าหมายในหลาย Placement อาจทำให้ยอด CPM วัดผลลัพธ์ได้ยากมากขึ้น เนื่องจากบาง Placement อาจไม่สามารถเล่นวิดีโอได้ ทำให้ผลลัพธ์โฆษณานั้นแย่กว่า เป็นต้น
  3. หากแอด CPM ในประเภทดิสเพลย์หรือวิดีโอบน GDN มีความผิดปกติ สามารถบ่งบอกถึงปัญหาเกี่ยวกับเว็บไซต์หรือตำแหน่งเนื้อหาที่โฆษณานำขึ้นไปแสดงผลได้ จึงควรตรวจสอบแอดเหล่านี้และปรับปรุงเว็บไซต์หรือการเลือกตำแหน่งเนื้อหาให้ดีขึ้นด้วย
  4. ตรวจสอบด้วยว่าแอด CPM  ในแพลตฟอร์ม Youtube ได้ทำการเลือกข้อมูลยกเว้น Demogrphic ที่เกี่ยวข้องกับเด็กและครอบครัวหรือไม่ เพราะถ้าหากไม่ทำการกดยกเว้น อาจทำให้โฆษณาของคุณปรากฏบนวิดีโอแอนิเมชันสำหรับเด็กวัยหัดเดินซึ่งไม่ได้ตรงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ และทำให้เสียงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์

เคล็ดลับในการเพิ่มอัตราส่วน CPM ROI 

  • กำหนดเป้าหมายคนที่ใช่อย่างเหมาะสม: การกำหนดเป้าหมายของคนที่ต้องการจะเข้าถึงด้วยแคมเปญ CPM อย่างละเอียดจะช่วยให้คุณใช้งบประมาณได้อย่างคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น และกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ยังเป็นกลุ่มที่สามารถนำมาทำการตลาดเพื่อเปลี่ยนเป็นลูกค้าในอนาคตได้
  • ระมัดระวังความถี่ของการมองเห็นที่มากเกินไป: เพราะการเห็นแอดโฆษณาเดิม ๆ ซ้ำ ๆ บ่อย ๆ จะทำให้คนรู้สึกเบื่อ ดังนั้น จึงควรกำหนดไม่ให้คนเห็นโฆษณาของคุณเกิน 3 ครั้ง
  • ใช้ข้อความและภาพที่ดึงดูดความสนใจ: เพื่อทำให้แน่ใจว่าผู้คนจำแบรนด์ของคุณได้หลังจากที่พวกเขาเห็นโฆษณาของคุณ
  • มีรีวิวจากลูกค้าตัวจริง: โน้มน้าวให้กลุ่มเป้าหมายเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ด้วยรีวิวจากลูกค้าที่พูดถึงแบรนด์

คำถามที่พบบ่อย 

CPM เกี่ยวข้องกับ Digital Marketing อย่างไร 

CPM คือ กลยุทธ์การทำการตลาดรูปแบบหนึ่งสำหรับการทำ Digital Marketing เพราะนี่คือวิธีที่ช่วยขยายพื้นที่ของแบรนด์ไปสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วจากการสร้างการรับรู้แบรนด์และการจดจำผ่านคอนเทนต์ที่นำเสนอสินค้าและบริการของธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขา 

เช่น บริษัทผลิตปากกาลูกลื่นแบบใหม่อาจจะต้องใช้แคมเปญ CPM ในหลายเว็บไซต์เพื่อสร้าง Brand Awareness สิ่งที่บริษัทต้องทำคือการสร้างการรับรู้ถึงความแตกต่างของปากกาในแคมเปญ CPM หลังจากนั้นจึงทำคอนเทนต์เพื่อส่งเสริมการขายในรูปแบบอื่น ๆ เช่น CPA CPC หรือใช้การทำ Content Marketing อื่น ๆ ร่วมด้วย เป็นต้น

หากค่า ​CPM แพง ควรแก้ไขอย่างไร?

สิ่งที่ทำให้ค่า CPM ของแอดถูกลงคือ การจับความสนใจของคนที่เห็นแอดโฆษณาได้มากขึ้น ดังนั้น การทำภาพโฆษณา แนวทางการสื่อสารของแบรนด์ ไปจนถึงการเขียน Copywriting ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่การจะทำแอดให้ออกมาตรงกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายคาดหวังได้ก็ต้องเริ่มจากความเข้าใจในพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายในเชิงลึก (Insight) และนำมาวางแผนการทำ Content Marketing แบบตรงจุดจึงจะทำให้ค่า CPM ถูกลงจากการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช่มากที่สุด

การทำโฆษณาในรูปแบบ CPM เหมาะกับธุรกิจไหนบ้าง?

เหมาะกับธุรกิจใหม่หรือธุรกิจที่ต้องการขยายฐานกลุ่มลูกค้า ไปจนถึงบริษัทที่ต้องการเปิดตัวสินค้าหรือบริการใหม่ เพราะการทำโฆษณาในรูปแบบ CPM จะเป็นการส่งโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ในจำนวนมาก เนื่องจากมีวัตถุประสงค์ในการทำการตลาดเพื่อสร้างการมองเห็น (Impression) เป็นหลัก

ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อ CPM rate

ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่า CPM มีอยู่ด้วยกันหลายอย่าง อาทิ การกำหนดกลุ่มเป้าหมายของคุณ (ยิ่งกำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียดมากเท่าไหร่ ก็จะมีผลต่อค่า CPM มากเท่านั้น), ช่วงเวลาที่คุณเลือกยิงโฆษณา (โฆษณาบางกลุ่มจะยิ่งมี Perfomance สูงเมื่อตรงกับวันหยุด ในขณะที่โฆษณาบางกลุ่มอาจตรงกันข้าม), การเลือก Placement ของชิ้นงานโฆษณา, รูปแบบชิ้นงานโฆษณา ตลอดจนการกำหนดความถี่ของการแสดงโฆษณา ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่มีผลต่อค่า CPM ทั้งสิ้น

ปัจจัยอะไรบ้างที่ช่วยเพิ่ม CPM rate ได้

กุญแจสำคัญของการเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณาแบบ CPM คงหนีไม่พ้นการสร้างชิ้นงานโฆษณาที่มีคุณภาพ ดึงดูดใจผู้คน รวมถึงการเลือก Placement ที่เหมาะสมต่อการแสดงชิ้นงานโฆษณานั้น ๆ และที่สำคัญ ควรศึกษาจากข้อมูล Insights ของลูกค้า ว่าพวกเขามักจะเสพโฆษณาที่มีเนื้อหาแบบใด รวมถึงลูกค้ากลุ่มใดมักจะมี Engagement กับโฆษณาบน Placement ไหน เป็นต้น


เริ่มต้นทำ CPM ให้กับธุรกิจของคุณ 

สำหรับใครที่ต้องการเริ่มต้นทำ CPM ให้กับธุรกิจต้องอย่าลืมที่จะสร้างรากฐานที่สำคัญ 3 สิ่งนี้ คือ

  1. อย่าลืมทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของ CPM, ประโยชน์, เมตริกอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งรู้ถึงจุดประสงค์ของธุรกิจด้วยว่าทำไมต้องทำโฆษณาในรูปแบบ CPM เช่น หากคุณต้องการวัดผลลัพธ์ Engagement คือ การมีส่วนร่วมกับแบรนด์ ก็จะไม่เหมาะสำหรับการใช้ CPM เป็นเป้าหมายในการยิงแอด แต่ถ้าต้องการสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ CPM คือรูปแบบการยิงแอดที่เหมาะสมสำหรับคุณ เป็นต้น
  2. อย่าลืมกำหนดงบประมาณที่ต้องการใช้ในการทำการตลาดในส่วนนี้แบบเฉพาะเจาะจง 
  3. อย่าลืมเตรียมแผนการขั้นต่อไปหลังจากยิงแอดโฆษณา CPM แล้ว เพราะการโฆษณา CPM ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อวัดผลลัพธ์ด้านการขาย หากต้องการขายสินค้าให้ได้ควรที่จะวางแผนต่อเนื่องที่ทำให้ยอดการมองเห็นเหล่านี้กลายเป็นลูกค้าได้ในอนาคต

อ้างอิง

WILL KENTON.  (2022).  Cost Per Thousand (CPM) Definition and Its Role in Marketing.  [Online]. retrieve from: https://www.investopedia.com/terms/c/cpm.asp

CPM Meaning: What Does CPM Stand For?. (n.d.)  [Online]. retrieve from: https://www.investopedia.com/terms/c/cpm.asp

CPM ads.  (n.d.)  [Online]. retrieve from: https://support.google.com/adsense/answer/18196?hl=en

TikTok Influencer
TikTok
แจกเทคนิคเพิ่มยอดวิว TikTok ฉบับว่าที่อินฟลูมือใหม่

ในยุคที่ Influencer Marketing กำลังเฟื่องฟู ผู้ชมในทุก ๆ แพลตฟอร์มก็อยากผันตัวไปเป็น Influencer กันมากขึ้น โดยเฉพาะแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นอย่าง TikTok ที่นับว่าก็จะยิ่งมี…

5 เคล็ดลับ วางกลยุทธ์การตลาด Inbound ใหม่ เพิ่มยอดขายติดจรวด
News
5 เคล็ดลับ วางกลยุทธ์การตลาด Inbound ใหม่ เพิ่มยอดขายติดจรวด

คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า Inbound Marketing คือการตลาดที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากปัจจุบันตลาดใหญ่ขึ้น การแข่งขันสูงขึ้น และผู้บริโภคเองก็มีตัวเลือกมากขึ้น หากคุณเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เติบโตจากการใช้กลยุทธ์นี้ และกำลังกลวิธีใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มยอดขายด้วยการตลาด Inbound…

อัปเดตเวลาโพสต์ Instagram 2024 ที่ดีที่สุด และวิธีเพิ่มเอนเกจ
Digital Tips & Tricks | Instagram
อัปเดตเวลาโพสต์ Instagram 2024 ที่ดีที่สุด และวิธีเพิ่มเอนเกจ

สำหรับธุรกิจที่เน้นทำ Instagram Marketing อย่างธุรกิจเสื้อผ้า ร้านอาหาร หรือสถานที่ท่องเที่ยว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ภาพสวย ๆ หรือวิดีโอ Vibe ดี ๆ…