ปกติคุณทำ Digital Marketing ผ่านช่องทางไหน และใช้วิธีใดในการทำบ้าง?
แน่นอนว่า ช่องทางหลักอย่าง Google คงจะเป็นทางหนึ่งที่ขาดไม่ได้พอ ๆ กับการทำ Social Media Marketing ด้วย Facebook, Instagram, Twitter ฯลฯ เพราะแพลตฟอร์มเหล่านี้คือเครื่องมือด้านการทำการตลาดสำคัญที่ต้องใช้เทคนิคต่าง ๆ มากมาย ทั้งการทำโฆษณา, การทำ Content Marketing, หรือแม้กระทั่งกลยุทธ์ ‘Remarketing’ ที่เราจะพูดถึงในบทความนี้ ในการขับเคลื่อนแบรนด์ให้เติบโตไปสู่ Conversion ที่ธุรกิจต้องการ
…ว่าแต่ Remarketing นั้นสำคัญแค่ไหน ทำได้อย่างไร และ Remarketing คืออะไร ตามไปหาคำตอบกันในบทความนี้ได้เลย
Remarketing คืออะไร
Remarketing แปลว่า การทำการตลาดซ้ำไปยังกลุ่มคนเดิมๆ
ดังนั้น Remarketing คือ กลยุทธ์การตลาดรูปแบบหนึ่งที่นักการตลาดนิยมใช้กัน โดยการวางแผนการตลาดด้วยเทคนิคต่าง ๆ เพื่อยิงโฆษณาไปยังกลุ่มคนที่เคยพบเห็นธุรกิจของคุณผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่ง
เช่น เคยเข้าเว็บไซต์มาอ่านคอนเทนต์ของคุณ, เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแอดของคุณทั้งการคลิกแอดผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย หรือทาง Google Ads ก็ตาม (อ่านเพิ่มเติมว่า Google Ads คืออะไร) โดยการยิงโฆษณาที่ส่งตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อทำการเก็บข้อมูลของพวกเขาผ่านการติดตั้ง Tag บน Owned Media ของคุณเอง และนอกจากการยิงแอดแล้ว ก็ยังใช้วิธีการทำ Email Marketing เพิ่มเติมด้วยได้เช่นเดียวกัน
ลองฟังคำอธิบายอย่างละเอียดจากคลิปวิดีโอด้านล่างนี้เพื่อทำความเข้าใจคำนิยามให้มากขึ้น
Retargeting คืออะไร
Retargeting คือ วิธีการทำให้ ‘ว่าที่ลูกค้า’ กลายมาเป็น ‘ลูกค้า’ ให้ได้มากที่สุดด้วยการติดตามข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้จาก Keyword ที่ใช้ในการค้นหาบน Search Engine และการท่องเว็บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งจะถูกรวบรวมอยู่ใน Cookie เมื่อคุณทำการกำหนดกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ในการยิงแอด ก็จะสามารถเลือกแสดงโฆษณาที่คิดว่ากลุ่มเป้าหมายน่าจะสนใจในเว็บไซต์อื่นได้เลย
อ่านเพิ่มเติม: ยิงแอดคืออะไร (การยิงแอดโฆษณา)
Remarketing แตกต่างจาก Retargeting อย่างไร
Remarketing คือ วิธีการทำการตลาดที่จะทำการเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานก่อนจะนำไปทำการยิงแอด เช่น เก็บข้อมูลรายชื่อลูกค้าจากากรทำ Email Marketing แล้วนำมา ยิงแอด Facebook ทีหลัง
ส่วนวิธีการทำ Retargeting เช่น Retargeting Ads คือ การติดตามข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายก่อน เช่น คุณทำเว็บไซต์ด้านการตลาด มีกลุ่มเป้าหมายเข้ามาในเว็บของคุณ เว็บไซต์ของคุณก็จะสร้างคุกกี้เก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของกลุ่มเป้าหมาย
หลังจากนั้น ไม่ว่ากลุ่มเป้าหมายจะเข้าไปดูเว็บไหนหรืออยู่ที่หน้าไหนของเว็บไซต์คุณก็จะสามารถทำการ Tracking ได้ และเมื่อทำการส่งโฆษณาออกไป เช่น การส่ง Retargeting Facebook คือ โฆษณาบน Facebook ที่จะส่งไปตามกลุ่มคนที่เคยเข้าเว็บไซต์ หลังจากนั้นจะแสดงแอดให้กับพวกเขาได้เห็นบน Feed ของ Facebook แม้พวกเขาจะไม่ได้เข้าใช้เว็บไซต์ของคุณในตอนนั้นก็ตาม
ทำไมต้องให้ความสำคัญกับ Remarketing
Remarketing ถือเป็นส่วนสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์ในยุคปัจจุบัน เนื่องจาก Customer Journey ของลูกค้านั้นมักจะผ่าน Stage ต่าง ๆ ที่ต้องใช้เวลาในการเลือกและตัดสินใจ ทำให้ไม่ได้ตัดสินใจซื้อในทันที
การทำ Remarketing ที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายเห็นบ่อย ๆ จึงเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ และโดยเฉพาะแบรนด์ใหม่ ๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจยิ่งเป็นเรื่องที่ยากมากในการทำให้แบรนด์ติดตามและเป็นที่จดจำได้ แต่ถ้าหากคุณเข้าใจว่า Retargeting Marketing คืออะไร และ Remarketing ทำอย่างไรก็จะช่วยทำให้พวกเขาตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
เนื่องจากการทำ Remarketing เช่น การยิงแอดแบบ Dispaly บน Google Ads เพื่อแสดงแอดที่มีความเกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของคุณ มีการใส่โปรโมชันเพิ่มเติมที่ทำให้กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณผ่านเว็บไซต์ รู้สึกสนใจและพิจารณามากขึ้นก็จะช่วยสร้าง Conversion ที่ต้องการได้มากขึ้น และยังช่วยในการขยายกลุ่มเป้าหมายและเข้าถึงผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าในอนาคตได้ด้วย
Remarketing กับ Marketing Funnel เกี่ยวข้องกันอย่างไร
Marketing Funnel เป็นขั้นตอนวางแผนทำการตลาดที่ออกแบบตามพฤติกรรมของลูกค้า โดยเริ่มต้นจากการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) ไปจนถึงตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ (Decision) ซึ่งการทำ Remarketing จะเข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับ Marketing Funnel ในบางขั้นตอนที่ต้องการจะทำให้กลุ่มว่าที่ลูกค้ามองเห็นสินค้า บริการ หรือแบรนด์ของคุณซ้ำอีกครั้ง เพื่อทำให้เกิดการจดจำ การพิจารณา หรือการตัดสินใจซื้อขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม และในแพลตฟอร์มที่ใช่ด้วย
รูปแบบของแคมเปญ Remarketing
Remarketing Campaigns จะมีอยู่ด้วยกัน 5 รูปแบบหลัก ๆ ดังนี้
1. Standard Remarketing
Standard Remarketing คือ การแสดงโฆษณาแบบดิสเพลย์ (Display) บน Google Ads ให้กับผู้ที่เคยเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ เมื่อพวกเขาเหล่านั้นทำการใช้เว็บไซต์อื่น ๆ ที่เป็นเครือข่ายดิสเพลย์ของ Google ก็จะเห็นโฆษณาที่เป็นสินค้าหรือบริการของคุณตามไปหลอกหลอนกลุ่มเป้าหมายซ้ำ
โดยการทำ Remarketing จะกำหนดเป้าหมายของกลุ่มผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เพิ่มเติมได้ เช่น เลือกจากผู้ที่เคยเข้าเว็บไซต์ของคุณแล้วทำการค้นหาคำ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คุณทำ เป็นต้น ซึ่งก็นับว่าเป็นการใช้ Data Driven หรือ Data driven Marketing ในรูปแบบพื้นฐานที่สุดของการทำ Remarketing แล้วในปัจจุบัน
2. Dynamic Remarketing
Dynamic Remarketing คือ การทำ Remarketing ด้วยโฆษณาแบบไดนามิกบน Google Ads ซึ่งสามารถปรับแต่งข้อความให้เหมาะกับแต่ละบุคคลที่เห็นแอดได้มากยิ่งขึ้น เช่น สมมติว่า คุณทำเว็บไซต์ E-Commerce คุณสามารถรวบรวมข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายที่ทำ Add to Cart สินค้าลงตะกร้าไว้แต่ไม่ยอมกดซื้อได้จำนวนหนึ่ง ถ้าหากทำการโฆษณาแบบไดนามิกที่เหมาะกับคนกลุ่มนี้ก็อาจจะนำเสนอแอดหลากหลายขนาด หลากหลายรูปแบบ เพื่อทำให้เกิดการคลิกและอัตรา Conversion ที่สูงขึ้นนั่นเอง
3. Remarketing Lists for Search Ads
Remarketing Lists for Search Ads คือ การทำโฆษณาบน Google ในรูปแบบ Search Ads โดยเน้นไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาชมเว็บไซต์โดยตรง เพื่อส่งเสริมการทำ SEM ให้กับธุรกิจและใช้สำหรับการ Upsell ถึงกลุ่มลูกค้าที่เคยซื้อไปแล้ว และอยากให้กลับมาซื้อซ้ำ ส่วนวิธีการทำ Remarketing Lists for Search Ad จะเป็นการทำการตลาดเพื่อติดตามกลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้ามายังเว็บไซต์ด้วยคำค้นหาที่เคย Search และคุณก็ทำการซื้อไว้อีกรอบ โดยโฆษณาที่ซื้อจะปรากฏบนหน้า Search เหมือนกับ Search Campaign ปกติ
อ่านเพิ่มเติม: SEM คืออะไร
4. Video Remarketing
Video Remarketing คือ การทำ Remarketing ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เพิ่งจะดูวิดีโอของแบรนด์ไปหรือเป็นกลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณก็ได้ โดย Video Remarketing ที่นิยมทำกันจะเป็นวิดีโอในรูปแบบสั้น ๆ เช่น การยิง Skip Ads ที่เป็นโฆษณาที่สามารถกดข้ามวิดีโอได้หลังจาก 5 วินาที เป็นต้น
5. Email Remarketing
Email Remarketing คือ วิธีการทำ Remarketing ด้วยอีเมล ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ
- ทำการแสดงโฆษณาบนเว็บไซต์ให้กับกลุ่มเป้าหมายที่เคยทำการเปิดอีเมลของคุณมาก่อน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้นับเป็น Lead คือ ลูกค้าเป้าหมายที่คุณมี Contact Information สำหรับการติดต่อ ทำให้สามารถปฏิสัมพันธ์ผ่านช่องทางอื่น ๆ ได้ง่ายมากขึ้น
- ทำการ Remarketing หากลุ่มคนที่เคยเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณเพิ่ม โดยกลุ่มคนเหล่านั้นอาจจะทิ้งอีเมลไว้ให้จากการทำ Lead Generation หรือให้อีเมลจากการกดสมัครสมาชิกเพื่อจะทำการสั่งซื้อสินค้า แต่ยังไม่ยอมกดจ่ายเงิน ซึ่งอีเมลเหล่านี้จะถูกนำมาทำ Email Remarketing ด้วยการส่งอีเมลที่ช่วยโน้มน้าวให้ซื้อสินค้าหรือบริการของคุณเพิ่มเติมนั่นเอง
การทำ Remarketing ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ
Facebook Remarketing
Facebook Remarketing คือ กระตุ้นกลุ่มเป้าหมาย และเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าด้วยการทำให้กลุ่มเป้าหมายเห็นแอดโฆษณาซ้ำบน Facebook หลังจากที่ได้รู้จักธุรกิจของคุณผ่านช่องทางอื่น ๆ มาก่อน เช่น เข้าหน้าเว็บไซต์, เข้าหน้าเพจ Facebook ฯลฯ โดยการทำงานของ Facebook Remarketing ระบบซอฟต์แวร์จะสร้าง Cookie หรือ Pixel เพื่อส่งโฆษณาหรือรูปภาพโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นซ้ำ ๆ เพื่อย้ำให้จำได้ หรือโน้มน้าวให้เกิด Conversion บางอย่างที่แบรนด์ต้องการ
สิ่งที่สำคัญสำหรับการทำ Facebook Remarketing จะเป็นการทำ Custom Audience คือ กลุ่มเป้าหมายที่สร้างขึ้นมาได้โดยใช้ข้อมูลจากธุรกิจ จะเป็นข้อมูลที่ได้มาจากระบบของ Facebook หรือนอก Facebook เช่น รายชื่อลูกค้า, ผู้ใช้งานเว็บไซต์ ฯลฯ ก็ได้
นี่จึงเป็นความท้าทายของการทำ Facebook Remarketing เพราะสามารถทำ Custom Audience จากข้อมูลที่มีมาใช้งานร่วมกันได้จากหลายแพลตฟอร์ม และแต่ละแพลตฟอร์มก็จะต้องใช้กลยุทธ์แตกต่างกันออกไปตามโอกาส และความเหมาะสมในการยิงแอด เพื่อที่จะทำให้พวกเขากลับมาซื้อสินค้าของคุณให้ได้
(นอกจาก Custom Audience แล้ว Facebook ยังมีรูปแบบการทำกลุ่มเป้าหมายสำหรับการยิงแอดอีกรูปแบบ เรียกว่า ‘Lookalike Audiences’ ลองไปทำความรู้จักว่า Lookalike Audiences คืออะไร ได้เลย)
Google Remarketing
Google Remarketing คือ การทำโฆษณาเพื่อตามกลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ ใช้แอปพลิเคชัน หรือเข้าเยี่ยมชมวิดีโอของคุณบน YouTube แต่ยังไม่สามารถตัดสินใจซื้อสินค้าของคุณได้ ให้พวกเขาเห็นโฆษณาของคุณในรูปแบบของ Banner ของคุณตามเว็บไซต์พันธมิตรต่าง ๆ ของ Google เพื่อกระตุ้นให้กลับมาซื้อสินค้า ซึ่งคุณเลือกได้ว่าจะให้ไปขึ้นแสดงบนเว็บไซต์ประเภทไหนบ้าง และคุณสามารถทำ Custom Audience ได้เช่นเดียวกับ Facebook Remarketing
ขั้นตอนการทำ Remarketing
1. ตั้ง Goal ในการทำ Remarketing Campaign
เลือก Goal ในการทำ Remarketing Campaign ให้เหมาะสมระหว่าง…
- การสร้าง Awareness: จะใช้สำหรับสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ซ้ำในคนหมู่มากที่อาจจะเคยปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่อาจจะยังจดจำแบรนด์ไม่ได้ เช่น กลุ่มคนที่เคยเข้าเว็บไซต์ในส่วนของหน้าบทความที่อ่านเพื่อเอาความรู้, กลุ่มที่เคย Engage กับโพสต์บนโซเชียลมีเดีย ฯลฯ ซึ่งการยิงแอดหาคนกลุ่มนี้ก็ต้องเป็นไปในแนวทำความรู้จัก ให้ข้อมูล หรือเน้นการเข้าถึงเยอะ ๆ เป็นหลัก
- การสร้าง Conversion: การทำแคมเปญแบบ Conversion จะเน้นทำให้ผู้คนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง เช่น คนที่เคยกด Add to cart ฯลฯ รับรู้ถึงสินค้าหรือบริการด้วยการโฆษณา และเมื่อพวกเขาคลิกโฆษณาก็โน้มน้าวในหน้า Landing Page ต่อเพื่อให้เกิดการซื้อ
2. เลือกใช้ให้ถูกระหว่าง Pixel-Based Remarketing และ List-Based Remarketing
การรวบรวมกลุ่มเป้าหมายสำหรับการทำ Remargeting List จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ Pixel-based กับ List-based
Pixel-based Remarketing คือ การยิงโฆษณาไปหาผู้ที่เคยดูเว็บไซต์หรือคลิกเข้าไปยังหน้า Landing Page ของธุรกิจ เมื่อผู้ใช้งานเว็บไซต์ได้ทำการออกจากหน้าเว็บของคุณไปดูเว็บไซต์อื่นหรือเข้าใช้เครือข่ายโซเชียล เช่น Facebook ตัว Pixel-based Remargeting จะติดตามผู้ใช้เหล่านั้นไปและทำให้พวกเขาเริ่มเห็นโฆษณาของคุณ
List-based Remarketing คือ การยิงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายที่คุณมีลิสต์รายชื่อและข้อมูลติดต่อชัดเจนอยู่แล้วในฐานข้อมูล โดยเฉพาะอีเมล เพื่อแสดงโฆษณาสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าหากต้องการใช้ข้อมูลที่เป็น List-based Remarketing จะต้องทำการจัดเรียงข้อมูลรายชื่อแล้ว Save เป็นไฟล์อัปโหลดไปยังแพลตฟอร์มที่ต้องการยิงแอด เช่น ยิงแอด Facebook ก็ต้องทำการอัปโหลดไฟล์รายชื่อเข้าไปใน Ads Manager
3. กำหนด Audience Segmentation ให้ชัดเจน
ทำการแบ่งผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
- แบ่งตามพฤติกรรม: โดยแบ่งว่าพวกเขาสนใจหรือไม่สนใจสินค้าของคุณ เช่น ไม่สนใจ จะอยู่บนเว็บไซต์ไม่เกิน 10 วินาทีแล้วกดออก หากสนใจมีการกดดูเนื้อหาหลายหน้า รวมถึงหน้าสินค้าและบริการด้วย หลังจากนั้นเลือก Remarketing เฉพาะคนที่สนใจเท่านั้น เป็นต้น
- แบ่งตามเวลา: เป็นการเน้นการทำ Remarketing ให้ถูกจังหวะเวลา เช่น ทำการกำหนดระยะเวลาระหว่างการเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ และการเห็นโฆษณาแรกหลังจากออกจากเว็บไซต์ไปแล้ว ว่าควรเว้นนานเท่าไหร่ ไปจนถึงควรเห็นไม่เกินกี่ครั้ง เป็นต้น
- แบ่งตามกลุ่มลูกค้าเดิมที่มีอยู่: เป็นการทำ Remarketing ไปหากลุ่มคนที่เป็นลูกค้าเดิมอยู่แล้วด้วยการยิงโฆษณาของสินค้าตัวใหม่ ส่วนลดเพิ่มเติม หรือสิทธิพิเศษบางอย่างที่ทำให้กลับมาซื้อซ้ำ
4. เลือกใช้แพลตฟอร์มต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
การทำ Remarketing สามารถทำได้หลายช่องทาง ทั้งโซเชียลมีเดียหรือบน Google ดังนั้นจึงควรเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมในการทำโฆษณาไม่เช่นนั้นอาจทำให้กลุ่มเป้าหมายเจอกับแอดเดิม ๆ ในปริมาณที่มากเกินไป จนทำให้เกิดความรำคาญมากกว่ากระตุ้นการซื้อสินค้าได้
ส่วนวิธีการจะเลือกว่า ควรใช้แพลตฟอร์มไหนบ้าง ก็ควรที่จะดูจาก Customer Journey เป็นหลักว่า พวกเขาตัดสินใจซื้อจากอะไร พวกเขาสนใจในสินค้าของคุณมากแค่ไหน หรือใช้แพลตฟอร์มไหนในการเข้าถึงข้อมูลบ้าง เช่น เป็นคนที่เคยเข้าเว็บไซต์ด้วยการค้นหา Keyword เช่น ซื้อไอโฟน คุณก็อาจทำ Remarketing ด้วยการยิงแอด Paid Search อีกครั้งด้วย Keyword เดียวกัน หรือใช้ Display Ads ในหมวดสินค้าที่เขาสนใจ ในการดึงดูดสายตาให้คลิกจากเว็บไซต์อื่น เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ
เครื่องมือทำโฆษณาแบบติดตามลูกค้า (Remarketing)
ก่อนจะดูว่าจะใช้เครื่องมืออะไรการทำ Remarketing เรามาดูกันก่อนว่ามี Metric อะไรที่ต้องทำการวัดผลลัพธ์สำหรับการทำ Remarketing Campaign บ้าง เช่น
- Engagement: ก่อนจะทำ Remarketing เพื่อให้เกิดการเข้ามาดูสินค้าหรือบริการซ้ำ จะต้องทำให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมกับแบรนด์ในปริมาณที่มากพอสมควร เช่น ดู Page Visits ว่ามีผู้เข้าชมเว็บไซต์กี่คน, การเปิดอีเมลว่ามีคนเปิดอีเมลเท่าไหร่ เป็นต้น
- Conversion: แนะนำให้ทำการวิเคราะห์ผลลัพธ์เหล่านี้ ได้แก่ Conversion Rate กลุ่มเป้าหมายทำการซื้อสินค้าหรือบริการของคุณหรือไม่, มีคนลงทะเบียนเพื่อทดลองใช้สินค้าของคุณหรือไม่ และราคาของ CPA (Cost Per Acquisition) ว่าต้องใช้เงินในการทำการตลาดเท่าไหร่จึงจะได้ลูกค้ามา 1 ราย
เข้าใจเรื่องของเมตริกแล้ว มาดูกันดีกว่าว่าเครื่องมือทำโฆษณาแบบติดตามลูกค้า (Remarketing)ที่ ทุกคนควรรู้จักและใช้งานเป็นมีอะไรบ้าง
Google Ads
Google Adsense เป็นเครื่องมือหนึ่งที่อยู่ภายใต้ Google Display Network โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่าง Google และเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ตามที่ Google กำหนดและจะกลายเป็นเว็บไซต์พาร์ทเนอร์ของ Google ด้วยการอนุญาตให้ Google แสดงเนื้อหาโฆษณาบนหน้าเว็บไซต์ตามตำแหน่งต่าง ๆ ซึ่งระบบของ Google จะคัดสรรโฆษณาที่เข้ากับเว็บไซต์ที่โฆษณานั้นแสดงให้มากที่สุด และทางผู้ยิงโฆษณาเองก็สามารถทำการกำหนดกลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์ แอปฯ ช่อง YouTube ต่าง ๆ ได้ด้วยผ่านการยิง Google Adwords ที่มีให้เลือกประเภทของกลุ่มเป้าหมายสำหรับการทำ Remarketing ได้หลายแบบ เช่น Standard Remarketing, Dynamic Remarketing, Email List Remarketing เป็นต้น
Facebook Ads
Facebook Ads เป็นเครื่องมือสำหรับทำ Remarketing ได้ผ่าน Facebook Ads Manager เมื่อเขามาแล้วให้ทำลิสต์ Custom Audiences สำหรับการยิงแอด Remarketing โดยจะนำข้อมูลของคนทั้งบนเว็บไซต์ ลิสต์รายชื่อที่มีอยู่, จากบนแอป หรือ Facebook เองมาใช้ได้
ซึ่งการกำหนด Custom Audiences จะทำได้ค่อนข้างละเอียด ยกตัวอย่างคุณต้องการใช้ข้อมูลของคนที่เข้าชมเว็บไซต์ ก็สามารถเลือกได้หลากหลายมาก เช่น
- คนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ (Anyone who visits your website)
- คนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์แบบเจาะจงบางหน้าที่ต้องการ (People who visit specific pages)
- คนที่เข้าชมเว็บไซต์แบบเจาะจงบางหน้าที่ต้องการ โดยไม่เข้าหน้าอื่น ๆ เลย (People visiting specific pages but not others)
- คนที่ไม่เข้าเว็บไซต์มาเป็นเวลาหนึ่ง (People who haven’t visited in a certain amount of time)
- ตั้งค่าเพิ่มเติม (Custom combination)
หลังจากนั้นทำการติดตั้งโค้ด Pixal ที่บนเว็บไซต์เพื่อติดตามผู้คนที่เข้ามาชมเว็บไซต์ของคุณ หลังจากนั้นทำแอดที่เหมาะสม กำหนดงบประมาณ และทำการยิง Remarketing ให้กลุ่มเป้าหมายเห็นได้เลย
ข้อดีของการทำ Remarketing
การทำ Remarketing ส่งผลดีต่อธุรกิจในหลากหลายด้าน ยกตัวอย่างเช่น
- ช่วยส่งเสริมการขาย (Conversion)
จากการที่กระตุ้นให้ลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายตัดสินใจซื้อได้มากขึ้น และถ้ายิ่งคุณสามารถเจาะจงกลุ่มเป้าหมายจากพฤติกรรมของพวกเขา เช่น เป็นกลุ่มคนที่ Add สินค้าเข้าตะกร้าแล้วแต่ยังไม่ทำการกดสั่งซื้อ ฯลฯ แล้วทำการยิงแอดที่ตรงใจกับเขามากขึ้น เช่น โปรโมชันส่วนลด ของแถม ฯลฯ ก็จะช่วยทำให้เกิดการสั่งซื้อสินค้าได้ง่าย เพราะพวกเขาต้องการสินค้าเหล่านี้อยู่บ้างแล้ว การทำ Remarketing จึงเป็นอีกหนทางที่ช่วยลดปัญหา Cart Abandonment ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ (Brand Awareness)
ลองนึกดูสิว่า กว่าเราจะจำสโลแกนของสินค้าบางอย่างต้องใช้เวลานานขนาดไหน? หากใช้เวลานานแสดงว่า การฟังสโลแกนแค่รอบเดียวก็ไม่อาจทำให้ลูกค้าจดจำได้ ดังนั้น การทำ Remarketing ที่ทำให้ลูกค้าเห็นแอดของธุรกิจจากหลากหลายแพลตฟอร์มซ้ำไปซ้ำมา ในรูปแบบที่แตกต่างและในความถี่ที่เหมาะสม ก็จะช่วยทำให้กลุ่มเป้าหมายจดจำแบรนด์ของคุณได้ดีมากขึ้นด้วย
- ช่วยทำให้เห็นพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน (Customer Journey)
เพราะการทำ Remarketing ที่มีคุณภาพจะต้องพึ่งพาการวิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน รู้ว่าพวกเขามีการตัดสินใจซื้อสินค้าอย่างไร ชอบแอดแบบไหน เข้าใช้แพลตฟอร์มไหนบ้าง หากธุรกิจเข้าใจลูกค้าได้ในเชิงลึก แน่นอนว่า การยิงแอดเพื่อ Remarketing ก็จะมี Performance ที่ดีมากขึ้นตามไปด้วย
ตัวอย่างการทำ Remarketing
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นจะขอยกตัวอย่างการทำ Remarketing ของแบรนด์ต่าง ๆ ในประเทศไทยให้เข้าใจตรงกัน อย่างเช่น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีการแข่งขันสูง เป็นสินค้าแนว High Involvement หรือสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคต้องการข้อมูลและตัวแปรจำนวนมาก เนื่องจากมีราคาสูง จึงจะเห็นการทำการตลาดแบบ Remarketing ได้บ่อย
ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์พฤกษา กลุ่มเป้าหมายอาจจะเคยเข้าไปยังเว็บไซต์ของแบรนด์มาก่อน เมื่อเข้าไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ทำการติด Google Adsense อยู่แล้วก็จะเห็น Display Ads ที่ทางพฤกษาทำการ Remarketing เอาไว้ โดยอาจจะเห็นเป็น Ads เฉพาะโครงการที่สนใจ หรือเป็นโครงการที่กำลังทำโปรโมชันอยู่ก็ได้
ส่วนในช่องทางของ Facebook เองก็มีการทำ Remarketing เพิ่มโดยอาจจะเป็นกลุ่มคนที่เข้าเว็บไซต์ หรือกดเข้าไปยังเพจของพฤกษามาก่อน หรือเคยทิ้งข้อมูลให้กับทางแบรนด์ ก็มีโอกาสที่จะถูก Remarketing ได้จากแอดบน Facebook ในรูปแบบนี้ได้ด้วยเช่นเดียวกัน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Remarketing
Remarketing และ Retargeting เหมาะกับธุรกิจแบบไหน?
Remarketing และ Retargeting เหมาะกับธุรกิจที่มี Owned Media อย่างเว็บไซต์ แอปฯ หรือโซเชียลมีเดียเป็นของตัวเอง เพราะข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายที่จะนำมาทำ Remarketing และ Retargeting ได้จะมาจากการเข้าชมแพลตฟอร์มต่าง ๆ เป็นหลัก ดังนั้น หากธุรกิจไหนยังไม่มีแพลตฟอร์มบนโลกออนไลน์ไม่ครบ อาจจะต้องรีบสร้าง Asset ขึ้นมาแล้วนำมาใช้ในการทำ Remarketing และ Retargeting ต่อไป
เมื่อไหร่ธุรกิจควรใช้กลยุทธ์ Remarketing?
ธุรกิจควรใช้กลยุทธ์ Remarketing เมื่อมีข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายมากพอในแต่ละแพลตฟอร์ม โดยหลายคนอาจจะใช้วิธีการทำ Remarketing ไปหาคนที่เคยปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจของคุณผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ แบบตลอดเวลา เพื่อหาคนใหม่ ๆ เข้ามาซื้อสินค้าหรือบริการของคุณมากขึ้น แต่หลายคนก็จะใช้วิธีการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น เลือกเฉพาะคนที่เคยเข้าเว็บไซต์ในบางหน้า, เลือกเฉพาะคนที่เข้าชมเว็บไซต์ในบางช่วงเวลาของปี ฯลฯ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วย Ads ที่เหมาะสมกับพวกเขาได้มากขึ้น
ข้อสรุป
การทำ Remarketing เป็นกลยุทธ์สำหรับการทำการตลาดออนไลน์อีกรูปแบบหนึ่งที่ทรงพลัง เพราะช่วยกระตุ้นทั้งการจดจำแบรนด์ (Brand Awareness) แล้วยังช่วยกระตุ้นยอด Conversion ให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดี แต่การที่จะทำ Remarketing ให้ประสบความสำเร็จ จะต้องเข้าใจข้อมูล Insight คือ ข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มเป้าหมายว่าพวกเขาจะมีโอกาสกลับมาซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ของคุณจากการยิงแอดในรูปแบบไหน และจากช่องทางไหนได้บ้าง โดยการทำ AB Testing เพื่อให้รู้ว่า แอดในรูปแบบไหนเหมาะสมและใช่มากที่สุด
อ่านเพิ่มเติม: AB Testing คืออะไร
อ้างอิง
Amazon Ads. (n.d.). What is remarketing?. [Online]. retrieve from: https://advertising.amazon.com/library/guides/remarketing
ELAD CHEIKHA. (2022). The Remarketing Guide for Dummies. retrieve from: https://www.outbrain.com/blog/remarketing-guide/
Fahad Muhammad. (n.d.). What is remarketing?. [Online]. retrieve from: https://instapage.com/what-is-remarketing