Ab testing คืออะไร

วิธีการสำคัญอย่าง A/B Testing คือ สิ่งหนึ่งที่นักการตลาดในยุค Digital Marketing ห้ามพลาดในการใช้งานเด็ดขาด เพราะมันทำให้เราไม่ต้องมานั่งตัดสินใจว่าโฆษณา หรือแคมเปญตัวไหน ที่ลูกค้าเห็นแล้วจะคลิกมากที่สุด บางครั้งเราอาจเผลอตัดสินใจโดยใช้ “ความรู้สึก” ซึ่งมันไม่ช่วยให้เกิดผลดีแน่นอน ฉะนั้นวิธีทดสอบการคลิกอย่าง A to B Testing เป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้วในการแก้ไขปัญหาที่กล่าวมา

A/B Testing คืออะไร

ความหมายของวิธีการ A/B Testing นั้นง่ายกว่าที่หลายคนคิด เพราะมันแปลว่าการทดสอบทางการตลาด ที่แยกแคมเปญเดียวกันออกเป็น 2 รูปแบบ ให้กับกลุ่มเป้าหมายที่เหมือนกันได้มองเห็น แล้วนำข้อมูลที่ได้ไปทำ Data Analytic เพื่อดูว่ารูปแบบไหนที่มีผลลัพธ์ดีที่สุด

Tips: คุณสามารถใช้ CTR ในการวัดสัดส่วนจำนวนคนที่คลิกเข้ามาดูโฆษณา เพื่อดูประสิทธิภาพของการทดสอบ A/B Testing ได้

A/B Testing ช่วยอะไรธุรกิจออนไลน์ได้บ้าง 

​​หากตอนนี้ธุรกิจของคุณกำลังเผชิญหน้ากับปัญหา Lead ที่ขาดความ Potential จนไม่สามารถสร้างยอดขายได้ตามที่หวัง อาจมีปัญหาเกิดขึ้นในหลาย ๆ ส่วน งั้นมาดูกันว่าการทำ A/B Testing จะสามารถช่วยอะไรคุณได้บ้าง

สิ่งที่ A/B Testing ช่วยธุรกิจออนไลน์ได้

1. A/B Testing ช่วยแก้ปัญหาของผู้เข้าชมได้อย่างตรงจุด 

เนื่องจากบางแคมเปญที่เราปล่อยออกไป อาจมีการนำเสนอที่ไม่ตรงต่อความต้องการของลูกค้ามากเท่าไหร่นัก ดังนั้นการเก็บข้อมูลมาวิเคราะห์ และทดสอบด้วยวิธี A/B Testing อาจทำให้เรามองเห็นปัญหาตรงนั้นชัดเจนมากขึ้น และพร้อมจะแก้ไขมันอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น CTA ที่เคยใช้อาจทำให้เกิดความสับสน ไม่สามารถสร้างแรงกระตุ้นให้ลูกค้า Take Action ได้ เราก็จะสามารถนำมาแก้ไข และปรับเปลี่ยนได้ทันทีในแคมเปญถัดไป 

2. เพิ่ม ROI จาก Traffic ที่เข้ามา 

โดยปกติแล้วการเพิ่ม ROI จาก Traffic ที่สูงขึ้นอาจทำให้เราต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มตามขึ้นมา ด้วยวิธีการทดสอบ A/B Testing จึงช่วยทำให้ทุกคนใช้ประโยชน์จาก Engagement ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงยังช่วยเพิ่ม Conversion ได้ในขณะที่เรายังไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม

3. สามารถลดการเกิด Bounce Rate 

เพราะการทดสอบด้วยวิธี A/B Testing จะช่วยให้เราได้เจอกับเวอร์ชันแคมเปญที่ดีที่สุด จนสามารถลดอัตราการเกิด Bounce Rate หรืออัตราการตีกลับได้

4. การทำ A/B Testing สามารถลดความเสี่ยงจากการปรับสิ่งต่างๆบนเว็บไซต์ 

ลองเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ทีละน้อยโดยอาศัยการทดสอบแบบ A/B Testing เพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดในแต่ละส่วนแบบค่อยเป็นค่อยไป ดีกว่าการที่เราลงทุนด้วยเงินก้อนใหญ่ เพื่ออกแบบเว็บไซต์ใหม่หมดจดทั้งหน้า ซึ่งยังไม่อาจทราบผลลัพธ์ได้แน่ชัดว่าเมื่อใช้งานจริง จะตอบโจทย์มากน้อยแค่ไหนกันแน่

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง : Data-Driven Marketing กลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูล

5. สามารถปรับการนำเสนอจากการทดลองสถิติ  

เนื่องจากการทดสอบแบบ A/B Testing ขับเคลื่อนโดยข้อมูลทั้งหมดที่เกิดขึ้นจริง ทำให้เราสามารถระบุสิ่งที่ดีที่สุดได้อย่างง่ายดาย จากการปรับปรุงที่ใช้สถิติในการวัดค่าเหมือนกัน

Tips: อยากทดสอบกลยุทธ์การตลาดว่ารูปแบบไหนให้ผลลัพธ์ได้ดีกว่า การทดสอบแบบ A/B Testingนั้นถือว่าตอบโจทย์อย่างมาก เพราะนอกจากจะบอกผลลัพธ์ว่าตัวไหนดีที่สุด ยังให้ข้อมูลกลับมา พร้อมนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า

6. ปรับปรุงเว็บไซต์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 

การออกแบบเว็บไซต์หรือการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพ บางครั้งอาจขึ้นอยู่กับการวาง CTA อย่างเหมาะสม เพื่อเป้าหมายสำคัญทางธุรกิจ เช่น การปิดการขาย หรือการเก็บข้อมูลจากลูกค้า ดังนั้นวิธีการทดสอบ A/B Testing จะสามารถเข้ามาสนับสนุนได้อย่างเข้มข้น ว่า CTA แบบไหนที่จะตอบสนองวัตถุประสงค์ของคุณได้ดีที่สุด

A/B Testing สามารถทดสอบอะไรได้บ้าง

ตอกย้ำความชัดเจนในด้านขีดจำกัดความสามารถของ A/B Testing ว่าสามารถทดสอบอะไรได้บ้าง ซึ่งเรารวบรวมข้อมูลทั้งหมดจนแตกย่อยออกมาได้อีก 7 หัวข้อด้วยกัน

การทดสอบ A/B Testing ในแต่ละองค์ประกอบ

เนื้อหา 

การทดสอบ A/B Testing กับเนื้อหาหรือคอนเทนต์ของเรา ว่าตอบโจทย์ลูกค้ามากน้อยแค่ไหน ซึ่งเราสามารถกำหนดรายละเอียดการทดสอบ ผ่านการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในแต่ละจุด โดยเริ่มได้จาก Headlines ระบุสิ่งที่เราต้องการสื่อ, เนื้อหาภายใน และช่วง CTA เพื่อกระตุ้นลูกค้าให้ทำในสิ่งที่เราคาดหวังจากแคมเปญนั้น

ถ้าเราปล่อยคอนเทนต์ลงบน Social Media อย่าลืมนำกลยุทธ์ Social Media Marketing มาใช้งานควบคู่กับการพัฒนาเนื้อหาคอนเทนต์ ก่อนทำ A/B Testing ต่อไปเพื่อดูว่าแบบไหนให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ดีไซน์และการจัดวาง 

กรณีที่เรามีปัญหาเรื่องดีไซน์และการจัดวาง จนไม่รู้ว่าแบบไหนถึงจะให้ผลลัพธ์ได้ดีกว่ากัน การเริ่มต้นใช้ A/B Testing ทดสอบแบบที่เรามีอยู่ไปทีละรายการ คอยเก็บข้อมูลที่ได้รับมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนารายการที่เหลือไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งบางครั้งเราอาจหลงลืมสิ่งสำคัญบางอย่างไปในการจัดวาง เช่น 

ตัวอย่างการทำ A/B Testing ในองค์ประกอบ Design & Layout

  • การให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับธุรกิจ, สินค้า หรือบริการ
  • การนำเสนอบทวิจารณ์จากลูกค้า ไม่ว่าจะในแง่ดีหรือไม่ดี เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
  • เขียนนำเสนอแบบเรียบง่าย อ่านแล้วสามารถเข้าใจได้ทันที
  • สร้างความรู้สึกแบบ FOMO (Fear Of Missing Out) หรือ การกลัวตกกระแส เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องห้ามพลาดเด็ดขาด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง : สอนยิงแอด Facebook ขั้นตอนลงโฆษณาเฟสบุ๊ค อัพเดตล่าสุด 2022

ระบบนำทางในเว็บไซต์ (Navigation)

เพราะระบบการนำทางเว็บไซต์ถือเป็นส่วนที่สำคัญอย่างมาก ในการส่งต่อผู้เข้าชมให้ไปตามหน้าที่เราต้องการ ดังนั้นการนำ A/B Testing มาใช้งาน จะช่วยให้เราทดสอบจนรู้ว่าโครงสร้างแบบไหน หรือวิธีการเชื่อมโยงแบบใดที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน จนเกิดพฤติกรรมการใช้งานที่เป็นไปตามความคาดหวังของเรา เบื้องต้นลองนำแนวคิดด้านล่างนี้ไปปรับใช้งานควบคู่กับการทดสอบดูอีกทาง

  • วางระบบนำทางเอาไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อให้ลูกค้าใช้งานได้ง่ายที่สุด
  • วางแผนการนำทางให้สามารถคาดเดาได้ไม่ยากเกินไป ด้วยการสร้างตัวเลือกที่เข้าถึงง่าย แต่ก็หลากหลายในเวลาเดียวกัน เช่น ธุรกิจขายหูฟัง ที่มีทั้งแบบไร้สาย และมีสาย ลองนำเสนอสิ่งที่ดึงดูดที่สุดของทั้ง 2 ประเภทขึ้นมาทันที เพื่อลดการค้นหาที่เสียเวลาของลูกค้าออกไป

Tips: การสร้างระบบนำทางที่ดีอาจต้องพึ่งพา Keyword ที่สามารถบ่งบอกได้อย่างชัดเจน ว่านี่คือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ สามารถคลิกเข้าไปได้เลย

แบบฟอร์ม (Forms)

การเปิดแบบฟอร์มให้ลูกค้าเข้ามากรอกข้อมูลผ่านช่องทางต่าง ๆ นับว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมากในสมัยนี้ เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ชอบทำอะไรที่วุ่นวาย เราจึงต้องมีการออกแบบฟอร์มให้ง่าย และครอบคลุมต่อความต้องการของเรามากที่สุด ซึ่งตรงนี้เองที่เราสามารถดีไซน์ข้อมูลในฟอร์ม แล้วนำไปทดสอบผ่าน A/B Testing ได้ เพื่อหาแนวโน้มว่าแบบฟอร์มไหนที่ลูกค้ายินดีที่จะตอบมากที่สุด

ปุ่ม CTA (Call-to-action)

ตัวอย่าง A/B Testing ในองค์ประกอบปุ่ม CTA

สำหรับกรณีของปุ่ม CTA (Call to Action) เองก็คล้ายกันกับแบบฟอร์มด้านบนเลย เนื่องจากการใช้งาน CTA มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่าต้องการให้ลูกค้าทำบางอย่าง หลังจากที่อ่านเนื้อหาจนจบ โดยเราสามารถออกแบบไว้เพื่อทดสอบ A/B Testing ได้ต่อเนื่องเช่นกัน คอยมองหาว่าแบบไหนที่ลูกค้าคลิกเข้ามามากกว่า

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง : Google Analytics คือ ใช้งานอย่างไร พร้อมวิธีติดตั้ง GA4 ล่าสุด

การพิสูจน์จากผู้ใช้งานจริง (Social proof)

การพิสูจน์จากผู้ใช้งานจริง หรือก็คือการรับฟังในสิ่งที่ลูกค้ากำลังจะบอกกับเรา ในปัจจุบันนี้มีเครื่องมือออนไลน์หลายแพลตฟอร์ม ที่ทำให้เราสามารถเก็บข้อมูลจากการพูดถึงของลูกค้า ได้อย่างกว้างขวาง พร้อมนำมาปรับใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นยิ่งทำให้ A/B testing กลายเป็นไม้สุดท้าย ที่จะช่วย Final ได้เลยว่าสิ่งที่เราต้องการพิสูจน์ ให้ผลลัพธ์ไว้อย่างไรบ้าง 

ความลึกของเนื้อหา (Content depth)

รายการสุดท้ายเป็นความเกี่ยวข้องในด้านเนื้อหา ที่หากต้องการวัดประสิทธิภาพ ว่าลูกค้าของเราชื่นชอบรูปแบบที่เข้มข้น เจาะลึก หรือต้องการเนื้อหาแบบสั้น กระชับ จบง่าย ไม่ต้องลึกมาก แค่มีคำตอบพื้นฐานให้ก็โอเคแล้ว ถ้านั่งนึกเองหรือไปถามลูกค้าทีละคนคงเสียเวลาแย่ นำไปใช้กับ A/B Testing เพื่อดูผลลัพธ์พร้อมข้อมูลเลยคงเป็นอะไรที่ง่ายกว่ากันเยอะ

รูปแบบการทำ A/B Testing 

จากข้อมูลทั้งหมดที่ผ่านมาอาจดูเหมือนว่าการทดสอบแบบ A/B Testing จะเป็นมีแนวทางที่ค่อนข้างคล้ายกันเอามาก ๆ แต่สำหรับด้านพื้นฐาน มันสามารถแบ่งรูปแบบการทดสอบได้ถึง 3 ประเภทด้วยกัน

1. Split URL testing

A/B Testing Split URL test

รูปแบบที่ 1 จะเป็นการใช้งาน A/B testing เมื่อเราต้องการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบนหน้าเว็บไซต์ โดยที่เรายังไม่อยากเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดในครั้งเดียว เมื่อเราเรียกการใช้งาน Split URL testing ขึ้นมา การเข้าชมเว็บไซต์ของคุณจะถูกแบ่งระหว่างส่วนควบคุมเป็น URL หน้าเดิม และ URL หน้าใหม่ เพื่อวัดอัตรา Conversion แต่ละรายการเพื่อหาผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการทดสอบ

2. Multivariate testing (MVT)

A/B Testing Multivariate

รูปแบบที่ 2 การทดสอบ A/B Testing ในแบบ Multivariate testing เป็นการทดสอบหลายตัวแปรพร้อมกัน เพื่อวิเคราะห์ว่าแบบไหนที่ทำงานได้เข้ากับหน้าเว็บมากที่สุด ซึ่งจะมีความซับซ้อนมากกว่าการทดสอบทั่วไป เหมาะกับผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด และพัฒนาขั้นสูง 

3. Multipage testing

A/B Testing Multipage

รูปแบบที่ 3 การทดสอบ Multipage testing เป็นการนำ A/B Testing มาปรับใช้เพื่อทดสอบหลายหน้าเว็บ โดยมีแนวทางทั้งหมด 2 ทางด้วยกัน คือ การทดสอบที่เราออกแบบหน้าเว็บใหม่หมด และการทดสอบด้วยการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนเล็ก ๆ บนหน้าเว็บ เพื่อดูผลการเปลี่ยนแปลงว่าปัจจัยใดส่งผลชัดเจน

5 ขั้นตอนการทดสอบ A/B Testing

ภาพรวม 5 ขั้นตอนการทำ A/B Testing

1.  Identify Goals

ขั้นตอนที่ 1 เราต้องเริ่มจากการตั้งเป้าหมาย หรือระบุวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนของการทำ A/B Testing ถึงผลลัพธ์ที่เราคาดหวังให้ดีกว่าเดิมอย่างไร

2. Collect Data

ขั้นตอนที่ 2 การรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้มาเป็นพื้นฐานในการเพิ่มประสิทธิภาพ ตามเป้าหมายที่เราตั้งเอาไว้ ซึ่งเราอาจมองไปที่แคมเปญหรือสิ่งที่มีอัตราการเข้าชมสูง เพื่อที่จะได้รวบรวมข้อมูลอย่างรวดเร็วก่อนทำ A/B Testing

3. Generate Hypothesis & Create Variation

ขั้นตอนที่ 3 สร้างแนวคิดสมมติฐานว่าทำไมถึงคิดว่าสิ่งที่เรากำลังจะนำไปทำ A/B Testing อาจให้ผลลัพธ์ได้ดีกว่าสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน จัดลำดับผลลัพธ์ที่คาดหวัง พร้อมกับความยากในการทดสอบ จากนั้นลองนำสิ่งต่าง ๆ ไปสร้างรูปแบบต่าง ๆ ตามองค์ประกอบที่เราได้กำหนดเอาไว้ ตรวจสอบคุณภาพที่ได้ในตอนสุดท้าย เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเป็นตามที่เราคาดไว้

4. Run Experiment

ขั้นตอนที่ 4 เริ่มต้นการทดสอบ A/B Testing เพื่อดูผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น Export ข้อมูลของแต่ละรูปแบบออกมาไว้ก่อนที่เราจะเริ่มต้นการวิเคราะห์ในขั้นตอนถัดไป

5. Analyze Results

ขั้นตอนสุดท้ายทำการวิเคราะห์ข้อมูลหลังจากที่เราได้ทำการ A/B Testing เรียบร้อยแล้ว ซึ่งตรงจุดนี้ข้อมูลทั้งหมดจะบอกเราได้เลยว่ารูปแบบไหน คือ ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า รวมถึงความแตกต่างที่เกิดขึ้น มีนัยสำคัญทางสถิติที่สามารถบอกอะไรเราได้อีกหรือไม่

A/B Testing กับการทำ SEO 

ผลกระทบของการทดสอบ A/B Testing กับเว็บที่ทำ SEO (Search Engine Optimization) อาจทำให้เกิดผลลัพธ์ด้านลบกับการประเมินจาก Google ทำให้สิ่งที่เราควรรู้ก่อนนำมันไปใช้งานจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ 2 หัวข้อต่อไปนี้

A/B Testing ส่งผลอย่างไรกับการทำ SEO 

การทดสอบ A/B Testing กับเว็บที่ทำ SEO อาจทำให้เกิดผลลัพธ์ด้านลบขึ้นมาเล็กน้อย เราจึงควรมีวิธีรับมืออย่างรอบคอบเมื่อต้องการใช้งาน 

ประเด็นสำคัญของ A/B Testing กับการทำ SEO

การทดสอบ A/B testing จะไม่มีผลอะไรมากนักกับการจัดอันดับ ถ้าหากเราสามารถปรับแต่งได้อย่างเหมาะสม ด้วยวิธีเหล่านี้

  • ใช้ Canonical Tags เพื่อเป็นการบอก Search Engine ให้รู้ว่า URL ที่อยู่ภายใต้ Tag นี้คือหน้าหลักของเว็บไซต์ เพื่อป้องกันการนำเสนอข้อมูลเว็บของเราผิดหน้า และป้องกันการเกิดข้อมูลซ้ำขึ้นมา เพราะถ้าหากเราไม่ใช้งาน Tag นี้ Algorithm ของ Google ก็จะไม่ทราบว่าหน้าเว็บไหนที่เราต้องการให้นำไปจัดอันดับ
  • ปรับเปลี่ยนการใช้งาน redirect 302 แทนการใช้งาน redirect 301 เนื่องจากเราต้องการให้หน้านั้นเป็นหน้าที่ใช้สำหรับทดสอบ A/B Testing เท่านั้น ไม่ใช่หน้าหลักแต่อย่างใด
  • หลังจากที่เราทำการทดสอบ A/B testing จนได้ผลลัพธ์ที่พอใจแล้ว ให้ทำการหยุดทดสอบ และปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามที่ต้องการทันที

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง : SEM (Search Engine Marketing) คืออะไร ต่างจาก SEO อย่างไร

เครื่องมือการทำ A/B Testing 

Google Optimize

ตัวอย่าง Interface Google Optimize ที่มี A/B testing ให้ใช้งาน

เครื่องมือแรกเป็นตัวที่หลายคนน่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว กับ Google Optimize ซึ่งมันสามารถใช้ทดสอบ A/B Testing ได้ฟรีด้วย โดยฟีเจอร์หลักที่น่าสนใจก็จะมี การทดสอบ A/B Testing, ทดสอบหน้าเว็บหลายเวอร์ชัน, การทดสอบหลายตัวแปร, การทดสอบเปลี่ยนเส้นทาง, การทดลองฝั่งเซิร์ฟเวอร์ และการทดสอบส่วนบุคคล

Optimizely

ตัวอย่าง Interface Optimizely เครื่องมือที่มี A/B Testing

เครื่องมือตัวที่สองเป็นตัวที่สามารถใช้ได้ทั้งการทดสอบ A/B Testing และ CRO (Conversion Rate Optimization) ที่พร้อมสนับสนุนการใช้งานในระดับองค์กร ซึ่งฟีเจอร์ที่มีให้ใช้งานได้แก่ การทดสอบ A/B Testing, การทดสอบหลายหน้า, โปรแกรมการแก้ไขภาพ สำหรับรูปแบบการสร้างโดยที่ไม่ต้องใช้โค้ด, การกำหนดเป้าหมายและการแบ่งส่วนขั้นสูง และ Full Stack ตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับแอปมือถือ และผลิตภัณฑ์ดิจิทัล

ตัวอย่างการทำ A/B Testing 

Case ตัวอย่างสาย E-Commerce ในการทำ A/B Testing อย่างต่อเนื่องจนได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมออกมาแบบไม่เหมือนใคร คงต้องยกให้ Amazon เพราะก่อนหน้านี้ในช่วงหลายสิบปีก่อน ทีมงานได้ทำการทดสอบเพื่อหารูปแบบปุ่ม 1-Click Ordering ขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ โดยที่ลูกค้าสามารถคลิกครั้งเดียวแล้วปิดจบการซื้อ พร้อมรอสินค้าได้เลยทันที โดดเด่นจนได้รับการจดสิทธิบัตรในช่วงนั้นเลยทีเดียว

Case Study การทดสอบ A/B Testing จาก Amazon

แต่ในช่วงเวลาถัดมา Amazon ไม่เคยที่จะหยุดพัฒนา พวกเขาได้มีการเก็บข้อมูลจาก A/B Testingอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างปุ่ม “รถเข็น” ที่ไม่ว่าเราจะอยู่หน้าไหนบนเว็บไซต์ ก็จะมองเห็นสถานะของรถเข็นอย่างชัดเจน ซึ่งสัญลักษณ์ดังกล่าวสามารถเป็นทางลัดได้ถึง 5 ตัวเลือก คือ

  • ช้อปต่อ (หากไม่มีสินค้าเพิ่มในตะกร้า)
  • อัปเดตข้อเสนอในวันนี้ (หากไม่มีการเพิ่มสินค้าในตะกร้า)
  • Wish Lish (หากไม่มีสินค้าในตะกร้า)
  • ดำเนินการชำระเงิน (เมื่อมีสินค้าในตะกร้า)
  • ลงชื่อเข้าใช้เพื่อเปิด 1-Click Checkout (เมื่อมีสินค้าในตะกร้า)

คำถามที่พบบ่อยในการทำ A/B Testing 

ควรเริ่มทำ A/B Testing ตอนไหน

ช่วงเวลาของการเริ่มทำ A/B Testing นั้นเราสามารถสรุปง่าย ๆ โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วงหลัก คือ การทดสอบก่อนปล่อยแคมเปญออกไป เพื่อหาองค์ประกอบที่ดีที่สุด หรือจะเป็นช่วงหลังจากปล่อยแคมเปญก็ทำได้เช่นกัน เพื่อเป็นการเก็บข้อมูล แล้วนำมาพัฒนาแคมเปญของเราให้ดีขึ้น

ข้อสรุปเกี่ยวกับ A/B Testing 

สรุปสุดท้ายเกี่ยวกับการทำ A/B Testing นั้นขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแต่ละธุรกิจอีกทีหนึ่ง ว่าต้องการใช้งานเพื่ออะไร ใช้งานกับอะไร หลังจากนั้นเราจึงนำข้อมูลทั้งหมดที่ได้ มาทำการวิเคราะห์ต่อไป แล้วหาแนวทางการพัฒนาสิ่งที่เราทดสอบ ให้ผลลัพธ์ครั้งถัดไปออกมามีประสิทธิภาพตามต้องการ ซึ่งการทำ A/B Testing ไม่จำเป็นต้องทำเพียงแค่ 1 หรือ 2 ครั้ง เราสามารถทำได้จนกว่าจะพอใจในผลลัพธ์ รวมถึงช่วงเวลาในการทดสอบก็เช่นกัน ขอแค่เราวางแผนตามขั้นตอนให้รอบคอบ การใช้งานวิธีการทดสอบนี้จะสร้างประโยชน์มากแน่นอน

 

Source

Optimizely, A/B Testing https://www.optimizely.com/optimization-glossary/ab-testing/

 Lindsay Kolowich Cox, How to Do A/B Testing: 15 Steps for the Perfect Split Test, March 3, 2022 https://blog.hubspot.com/marketing/how-to-do-a-b-testing

 vwo, A/B Testing Guide, May, 2021 https://vwo.com/ab-testing/#a-b-testing-examples

10 body languages for presentation
Marketing Psychology
ลิสต์ 10 ภาษากายเพื่อการพรีเซนต์งาน สำหรับพนักงานมือโปร 

Topic Summary คนทำงานเตรียมแชร์ไว้ 10 ภาษากายเพื่อการพรีเซนต์งาน เพิ่มสกิลการเป็นมือโปร และทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในตัวคุณ! ในบรรดาความรู้เรื่อง Body Language ทั้งหมด ภาษากายที่ใช้ในการพรีเซนต์งาน…

body languages
Marketing Psychology
เช็กก่อนใคร! ตำแหน่งของ Body Language ตัวช่วยอ่านพฤติกรรมคนจากภาษากาย

Topic Summary อยากรู้ไหม? เวลาอ่านใจคนจากภาษากาย ตำแหน่งของ Body Language ส่วนใดบ้างที่คุณต้องดู และแต่ละตำแหน่งมีความสำคัญอย่างไร ใคร ๆ ก็อยากเชี่ยวชาญการอ่านใจคนด้วยภาษากาย…

what is psychology of pricing
News
เข้าใจจิตวิทยาราคา พร้อมแจกกลยุทธ์การตั้งราคา ให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อเร็วกว่าที่เคย

เพิ่งเปิดธุรกิจใหม่ ควรตั้งราคาอย่างไรดี Digital Tips แชร์เทคนิคการตั้งราคาตามหลักจิตวิทยา พร้อมเคลียร์ชัดความหมายของจิตวิทยาราคา อ่านแล้วเข้าใจได้ทันที! Content Summary  จิตวิทยาราคา คือ การกำหนดราคาสินค้าโดยอ้างอิงจากการรับรู้ทางจิตวิทยา…