กลยุทธ์การตลาดออนไลน์นั้นมีมากมายหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทำ SEO, การทำคอนเทนต์, การยิงแอดโฆษณา หรือแม้กระทั่งการทำ Social Media Strategy ซึ่งเป็นหัวข้อหลักสำหรับบทความนี้ ก็ล้วนเป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้ทั้งสิ้น
ดังนั้น ธุรกิจจำเป็นที่จะศึกษาและเลือกใช้ช่องทางเหล่านี้ให้เหมาะสมกับความเป็นแบรนด์มากที่สุด โดยเฉพาะการเลือกใช้ช่องทาง Social Media Activity เช่น Facebook, Instragram, Twitter ฯลฯ ที่มีความหลากหลาย แต่ถ้าหากวางกลยุทธ์ดีๆ ก็สามารถสร้าง Social Media Strategy ที่ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์มได้เช่นกัน
ว่าแต่จะทำได้อย่างไร Social Media Strategy คืออะไร สำคัญแค่ไหน บทความนี้มีคำตอบมาให้กับคุณ
Social Media Strategy คืออะไร
Social Media Strategy คือ การวางแผนใช้งานช่องทาง Social Media เพื่อทำ Social Media Marketing ซึ่งจะช่วยทำให้กลุ่มเป้าหมายที่อยู่บนช่องทางโซเชียลมีเดียรู้ว่า แบรนด์ของคุณขายอะไร มีอะไรที่พวกเขาสนใจ จะใช้อย่างไร ด้วยการโปรโมตและขายสินค้าหรือบริการผ่านแคมเปญต่างๆ บนโลกโซเชียลมีเดีย และนำไปสู่การเกิด Brand Awareness (การรับรู้แบรนด์), Consideration (การพิจารณา) และการเกิด Decision (การตัดสินใจซื้อ) ได้ในที่สุด ซึ่งสิ่งที่ทำให้แบรนด์เข้าไปสู่ Marketing Funnel เหล่านี้ได้ก็คือ Social Media Strategy Plan นั่นเอง
Social Media Strategy สำคัญต่อธุรกิจอย่างไร
หากธุรกิจสามารถวางแผน Social Media Strategy ให้เป็นระบบ ครอบคลุม ตอบจุดประสงค์ได้ และลงมือทำได้จริง ก็จะส่งผลประโยชน์ต่อธุรกิจในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น…
1. กำหนดเป้าหมาย และวิธีการทำแคมเปญต่างๆ ได้อย่างชัดเจน
การวาง Social Media Strategy เพื่อทำการตลาดออนไลน์ล่วงหน้าจะเป็นการช่วยให้นักการตลาดมองเห็นว่ากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเป็นใคร จากการเรียนรู้ของ Buyer Persona หลังจากนั้นจึงคงค่อยทำการวางแผนการใช้งาน Social Media ตาม Customer Value Journey หรือลำดับขั้นการเดินทางของลูกค้าอย่างละเอียด ซึ่งจะช่วยทำให้เห็นแนวทางของการทำแคมเปญ, การลงงบประมาณ ไปจนถึงการวางแผนคอนเทนต์เพื่อสื่อสารในแต่ละ Social Media แบบแยกแพลตฟอร์มได้ง่ายขึ้นด้วย
2. สามารถติดตามผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากลงมือทำการตลาด แน่นอนว่า เราย่อมต้องหวังผลลัพธ์ทางการตลาด แต่ละรู้ได้อย่างไรว่าจะต้องวัดผลลัพธ์อย่างไรบ้าง?
คำตอบคือ การใช้ Social Media Strategy อย่างการกำหนด ROI Media Strategy หรือผลตอบแทนจากการลงทุนบนช่องทางโซเชียลมีเดียก็จะช่วยทำให้นักการตลาดสามารถทำการติดตามผล (Tracking) ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการเขียนแผน Social Media Strategy จะต้องทำการระบุผลลัพธ์ที่ต้องการเอาไว้ รวมถึงช่องทางการวัดผลลัพธ์นั้นๆ เอาไว้ด้วย
เช่น คุณทำการใช้ Social Media เพื่อยิงแอดโฆษณาหา Lead โดยยิงแอดแบบ Conversion ผลลัพธ์ที่ต้องการจะได้คือยอดการสั่งซื้อสินค้า โดยนำมาคำนวณต่อได้ว่า แคมเปญการตลาดนั้นที่ทำการยิงแอดไปลงทุนไปเท่าไหร่ และได้ลูกค้ากลับมาเท่าไหร่
อ่านเพิ่มเติม: ยิงแอดคืออะไร (การยิงแอดโฆษณา)
3. สามารถนำข้อผิดพลาดในอดีต มาปรับปรุงแผนเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม
การวางแผน Social Media Strategy ล่วงหน้า นอกจากจะช่วยในการติดตามผลลัพธ์ วัดผลลัพธ์ แล้วก็ยังช่วยในการประเมินผลลัพธ์ด้วยว่า การใช้ Social Media เพื่อทำการตลาดนั้นมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน ได้ผลตามที่ต้องการหรือไม่ หรือกลยุทธ์นั้นมีจุดไหนที่ควรปรับปรุงบ้าง หลังจากนั้นจึงทำ Data Driven หรือ Data Driven Marketing เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาปรับปรุงกลยุทธ์การทำการตลาดบน Social Media ต่อไป
Social Media Strategy vs Content Strategy ต่างกันอย่างไร?
ความแตกต่างระหว่าง Social Media Strategy vs Content Strategy คือ กลยุทธ์ต่างๆ และมุมมองของการทำแผนที่มีความแตกต่างกัน แต่ทั้ง 2 สิ่งนี้สามารถทำงานร่วมกันได้ ลองมาดูความแตกต่างเหล่านี้ให้ชัดเจนมากขึ้นพร้อมๆ กันดีกว่า
Social Media Strategy
- เริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายจาก Goal ของธุรกิจ เช่น ต้องการเพิ่มยอดขาย, ต้องการเพิ่ม Lead เป็นต้น
- ทำการค้นหาให้เจอว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นใคร พวกเขาสนใจอะไร อยากรู้อะไร และมีแบรนด์ไหนบ้างที่ติดตามอยู่ใน Social Media
- ทำการค้นหาคู่แข่ง เพื่อดูว่าพวกเขาใช้กลยุทธ์อะไรในการได้มาซึ่งลูกค้า เช่น ยิงแอด ทำคอนเทนต์ ทำโปรโมชัน ฯลฯ
- เลือกช่องทาง Social Media โดยเลือกจากพฤติกรรมการใช้งานของกลุ่มเป้าหมาย โดยดูว่า Social Media ช่องทางไหนในการเข้าถึงและทำให้บรรลุ Goal ที่ตั้งเอาไว้ได้มากที่สุด
- สร้าง Target Audience โดยทำออกมาเป็น Persona ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการวางแผนคอนเทนต์หรือใช้ในการยิงแอดได้ด้วย
Content Strategy
- จะเริ่มต้นจากการค้นคว้าว่าจะต้องทำคอนเทนต์เพื่อวัตถุประสงค์อะไร เช่น ให้ความรู้ ให้ความบันเทิง เป็นต้น
- วางแผนรูปแบบของคอนเทนต์ โดยดูว่าลงเป็นขนาดเท่าไหร่ ด้วยเครื่องมือไหน เช่น ลงเป็นขนาด 1:1 บนหน้า Feed ของ Facebook ฯลฯ รวมถึงวางแผนหัวข้อต่างๆ เอาไว้ล่วงหน้าด้วย
- กำหนดระยะเวลาในการลงคอนเทนต์ โดยควรลงให้สม่ำเสมอ
- ทำการ Tracking ผลลัพธ์ของการทำคอนเทนต์ เช่น เก็บผลลัพธ์ Engagement, ผลลัพธ์การสั่งซื้อสินค้าจากแอดว่าตัวไหนดีที่สุด ฯลฯ
- ปรับปรุงคอนเทนต์สม่ำเสมอโดยใช้ข้อมูลที่เก็บได้มาวิเคราะห์ร่วมด้วย
จะเห็นว่า Social Media Strategy จะมีภาพที่ใหญ่กว่า โดยมองในมุมของการค้นหาว่าเป้าหมายคือใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ไปจนถึงวางแผนว่าจะเข้าถึงพวกเขาด้วย Social Media ได้อย่างไร ส่วน Content Strategy จะเน้นเจาะลึกถึงการวางแผนคอนเทนต์ว่ากลุ่มเป้าหมายต้องการอ่านอะไรหรือแบรนด์อยากจะบอกอะไร เพื่อส่งเสริมให้ Social Media Strategy ที่มีเป้าหมายใหญ่กว่าประสบความสำเร็จนั่นเอง
9 Step ทำ Social Media Strategy ให้ประสบความสำเร็จ
1. ตั้ง Goal ในการทำ Social Media Strategy ให้สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจ
หาให้เจอว่าคุณจะใช้ Social Media เพื่อวัตถุประสงค์อะไร เช่น เพิ่มยอดขายบนช่องทางออนไลน์, เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่, เพิ่มยอดลงทะเบียน, เพิ่มการรับรู้ให้กับแบรนด์ ฯลฯ ซึ่งควรที่จะตั้งให้สอดคล้องกับเป้าหมายของธุรกิจ ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะหลงทางและทำการวัดเพียงยอดไลก์ คอมเมนต์ แชร์ ที่ไม่ได้นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ทางธุรกิจต้องการได้อย่างแท้จริง
2. วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียด
การทำ Social Media Strategy ที่มีประสิทธิภาพไม่จำเป็นที่จะต้องทำขึ้นเพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม ควรคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเป็นลูกค้าเท่านั้น เพื่อทำให้สามารถวางแผนคอนเทนต์ที่จะสื่อสารได้ง่าย เลือกช่องทาง Social Mediaได้อย่างเหมาะสม ไปจนถึงวางแผนการเผยแพร่คอนเทนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายจะช่วยทำให้เห็นพฤติกรรมของพวกเขา รู้ว่าเขาชอบอะไร สนใจอะไร อยากซื้ออะไร รวมถึงมีรูปแบบการใช้งาน Social Media แบบไหน หลังจากนั้นให้นำมาทำ Persona ที่ช่วยทำให้นักการตลาดมีตัวอย่างกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และวางแผนการสื่อสารถึงพวกเขาได้ตรงจุดมากขึ้น
3. ศึกษาและวิเคราะห์คู่แข่งทางการตลาด
“รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” ประโยคนี้นำมาใช้ได้แม้กระทั่งการวางแผน Social Media Strategy เพราะการรู้จักคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันจะช่วยทำให้เห็นถึงจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค (SWOT) ในการทำแบรนด์ของคุณบน Social Media Platform ได้มากขึ้น
สำหรับสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์คู่แข่งเลยก็คือ ต้องเลือกคู่แข่งที่เหมาะสม เพื่อนำมาวิเคราะห์ว่าคู่แข่งเหล่านั้นว่า เป็นคู่แข่งในมิติไหน รวมถึงต้องรู้ว่าจะหาข้อมูลได้จากที่ไหน พร้อมทำความเข้าใจว่าจะนำข้อมูลมาปรับใช้ และพัฒนาธุรกิจได้อย่างไรด้วย
4. เลือกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ
เพราะจักรวาลของ Social Media นั้นกว้างใหญ่ มีมากมายหลากหลายแพลตฟอร์มให้เลือกใช้ แถมในแต่ละแพลตฟอร์มก็มีฟีเจอร์พิเศษอื่นๆ อีกเพียบที่ให้เลือกใช้งานเพื่อเจาะกลุ่มพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย ลองดูรูปด้านล่าง เพื่อศึกษาว่าในแต่ละ Social Media Platform นั้นเหมาะจะใช้งานอย่างไรบ้าง
5. วางแผนและทำ Content Strategy
Content Strategy เป็นส่วนประกอบหนึ่งที่เชื่อมโยงกับศาสตร์อื่นการทำ Digital Marketing หรือ Social Media Strategy เพราะนี่คือ สารที่แบรนด์สามารถใช้ส่งผ่านสิ่งที่ต้องการจะสื่อถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย รวดเร็ว และชัดเจนที่สุด แต่การจะทำ Content Strategy ที่ดีได้ก็ต้องพึ่งพาการทำ Market Reserach ที่แม่นยำ เพื่อทำให้เข้าใจ Journey ของกลุ่มลูกค้าและนำมาแปลงเป็นสารที่เข้ากับ Marketing Funnel ใน Stage ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Awareness, Consideration และ Decision
เอาข้อมูลจากการทำ Landscape research, persona และความรู้เรื่อง Buyer Journey มาวางแผน Content Strategy อย่างมีระบบด้วยการทำ Content Metrix โดยเลือกรูปแบบคอนเทนต์ที่เหมาะสมกับแบรนด์ตามรูปแบบของคอนเทนต์ ได้แก่
- Entertain คอนเทนต์เพื่อมอบความบันเทิง
- Inspire คอนเทนต์แนวสร้างแรงบันดาลใจหรือทำให้รู้สึกอยากซื้อ
- Educate คอนเทนต์ให้ความรู้
- Convince แนวเชิญชวน ทำให้รู้สึกอยากลอง
6. กำหนดวันที่และช่วงเวลาที่จะโพสต์ Content
นอกจากคอนเทนต์ที่ดีและตรงกลุ่มเป้าหมายแล้ว การเลือกช่วงเวลาในการโพสต์คอนเทนต์ในแต่ละช่องทางโซเชียลมีเดียเองก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มอาจจะช่วงเวลาโพสต์ที่ดีที่สุดทั้งเหมือนและแตกต่างกันไป อ้างอิงข้อมูลจาก Socialmediatoday เช่น
- Facebook: วันที่ควรโพสต์ คือ วันอังคาร, วันพุธ และวันศุกร์ เวลา 9.00 – 13.00 น. และวันจันทร์ 9.00- 12.00 น.
- Instagram: วันที่ควรโพสต์ คือ วันอังคาร ระหว่าง 11.00 – 14.00 น. และ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ตั้งแต่ 11.00 -12.00 น.
- Twitter: วันที่ควรโพสต์ คือ วันพุธ ระหว่าง 9.00 – 15.00 น. ซึ่งเป็นวันที่ดีที่สุดในการโพสต์บน Twitter ขณะที่วันอังคาร – พฤหัสบดี ระหว่าง 9.00 – 11.00 น. เป็นเวลาที่มี Engagement ที่สูงด้วยเช่นกัน
7. สร้าง Content ที่ตรงความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
ขั้นต่อมาจะเป็นขั้นตอนของการลงมือทำคอนเทนต์ให้ตรงกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการและตรงกับวัตถุประสงค์ที่ทางธุรกิจกำหนดไว้ ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจต้องการใช้ Social Media เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ให้กับแบรนด์ รูปแบบของคอนเทนต์ที่เหมาะสมก็อาจจะเป็น Video Content ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายส่วน เช่น Live Video, ทำวิดีโอแนว How-to, วิดีโอแนวแสดง Case Study เป็นต้น โดยเนื้อหาเหล่านี้จะต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการด้วย
อยากสร้าง Content ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ “คอร์สออนไลน์ เรียน Content Marketing Mastery”
8. ปรับปรุงเนื้อหาคอนเทนต์
การทำคอนเทนต์จะไม่ได้หยุดอยู่แค่การสร้างคอนเทนต์ใหม่เท่านั้น แต่ควรที่จะนำคอนเทนต์เดิมมาปรับปรุงให้ดูสดใหม่มากขึ้นอย่างสม่ำเสมอ เช่น คุณเคยทำคอนเทนต์ให้ความรู้เกี่ยวกับการอัปเดตข้อมูลในปี 2022 มาแล้ว และเมื่อถึงปี 2023 ก็ควรที่จะนำข้อมูลเหล่านั้นอัปเดตแล้วนำมาแชร์ใหม่ได้ เพื่อทำให้คอนเทนต์ดูสดใหม่ และอยู่ในกระแสตลอดเวลา ทั้งนี้ ยังช่วยทำให้แบรนด์ของคุณดูทันสมัยและทันกระแสมากขึ้นด้วย
9. ติดตามและวิเคราะห์ผล
อย่าลืมที่จะติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์ของการทำคอนเทนต์และการวางแผน Social Media Strategy อย่างสม่ำเสมอ เพื่อทำให้เห็นว่าแผนที่วางเอาไว้นั้นมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน และควรที่จะทำการปรับปรุงอะไรได้บ้าง
ตัวอย่าง Social Media Strategy ที่ประสบความสำเร็จ
มาดู Marketing Plan ตัวอย่างสำหรับการทำ Social Media Strategy ที่ประสบความสำเร็จและสามารถนำมาใช้เป็นไอเดียในการวางแผนสำหรับแบรนด์ของคุณเพิ่มเติมได้
1. Prinkle UK x X BOX
ตัวอย่าง Social Media Strategy ที่น่าสนใจชิ้นแรกมาจากการทำ CoC หรือ Co-Creation ของแบรนด์ขนมชื่อดังอย่าง Prinkle UK และแบรนด์เครื่องเล่นเกมยอดนิยมอย่าง X Box ที่ได้ทำแคมเปญการตลาดเพื่อจับกลุ่มเป้าหมายคน Gen Z
โดยทาง X Box ต้องการโปรโมตเกมใหม่ชื่อTrain Sim World เกมจำลองสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับรถไฟโดยสาร และจุดเด่นของตัวเกมจะเป็นการจำลองสถานการณ์ที่สมจริงมาก มีตัวละคร AI ที่ถูกตั้งโปรแกรมที่เล่นเป็นผู้โดยสาร จึงเป็นงานที่ต้องคิดเยอะมากว่าจะทำให้เกมของ X Box และ Prinkle UK นำเสนอไปในทางเดียวกันอย่างไร
สุดท้ายได้แคมเปญที่มีชื่อว่า Stay in the Game ที่เป็นการเฟ้นหา End User ให้สมัครงานเข้ามาเพื่อกลายมาเป็น AI ปลอมใน Train Sim World และได้เงินรางวัลหลักแสนบาท กติกาคือ ให้ถ่ายรูปหรือถ่ายวิดีโอตัวเองคู่กับ Pringles แล้วโพสต์ลง Social Media ส่วนตัว พร้อมคำอธิบายว่าทำไมคุณถึงเหมาะที่จะเป็น NPC ของเกม เปิด Public และสุดท้ายคือติด #PringlesStayInTheGame ทำให้ทาง Pringles ได้พื้นที่สื่อ ถูกซื้อสินค้า และทำให้ฝั่ง X Box ได้ประโยชน์จากการที่คนอยากเล่นเกมเพิ่มมากด้วย
ซึ่งการวาง Social Media Strategy ก็มีความน่าสนใจเพราะมีการใช้ Influencer สาย Gamers ในการช่วยประชาสัมพันธ์กิจกรรม และการใช้สื่อ Social Media Official เพื่อโปรโมตคอนเทนต์ในเชิงของการ Recruit คนเข้ามาทำงานเป็น AI ปลอมให้กับเกมจริงๆ และแจกเงินจริงๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีการปล่อยวิดีโอโฆษณาบนช่องทางออนไลน์และสื่อผ่าน Console เครื่อง X Box Series ต่างๆ ด้วยการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของ AI ที่อยู่ภายในตัวเกมเพิ่มเข้ามาอีกด้วย
2.iberry x chester’s
เรารู้ว่าเมนูยอดนิยมของ chester’s คือ ข้าวไก่กรอบซอสน้ำปลา จึงเกิดแคมเปญบนโลกโซเชียลมีเดียที่น่าสนใจขึ้น โดยเริ่มต้นจากการฉลอง 34 ปีของแบรนด์ Chester’s ทำให้เกิดการจับเอาไอเท็มลับที่แฟนๆ ชื่นชอบนี้ มาครีเอตให้กลายเป็นเมนูสุดพิเศษอย่างไอติมรสซอสน้ำปลาฮอตชิลลี่ โดยร่วมมือกับแบรนด์ไอศกรีมอย่าง iberry ทำให้เกิดกระแสตั้งแต่เริ่ม PR
นอกจากการโปรโมตในเชิงความน่าสนใจของรสชาติที่แปลกใหม่แล้วก็มีการปล่อยคลิปชวนไปลิ้มรสไอติมครั้งแรก เพื่อดูว่าผู้คนในคลิปที่ลองทานมี Reaction อย่างไร เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกอยากรู้ในรสชาติมากขึ้นด้วย และสุดท้ายในการใช้โซเชียลมีเดียยังเล่นในเรื่องของการตลาดแบบ FOMO หรือ Fear of Missing Out ด้วยการระบุให้มีจำนวนจำกัด ซึ่งการถูกจำกัดด้วยเวลาอย่างนี้ ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งเร้าให้ผู้คนรีบออกมาลองชิมเมนูใหม่นี้ด้วยอีกทางหนึ่ง
วัดผลและปรับปรุง Social Media Strategy เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
วัดผลและปรับปรุง Social Media Strategy นับเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญมาก เพราะในปัจจุบันนี้การใช้ Social Media มีเมตริกมากมายที่นักการตลาดจะต้องเก็บ Data เพื่อนำมาวิเคราะห์ ไม่ได้แค่เพียงการวัดผลจากยอดกดติดตาม ยอดแชร์ หรือการมีส่วนร่วมอย่างที่เราคิดอีกต่อไป ดังนั้น ในหัวข้อนี้จึงจะมาพูดถึงเมตริกสำคัญที่ควรทำการวัดผลอย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น
- Impressions: เป็นการวัดว่าโพสต์ของคุณปรากฏขึ้นกี่ครั้งในฟีดหรือไทม์ไลน์ของผู้ใช้ โดยจะวัดจากจำนวนการแสดงผล (Impressions) สำหรับแต่ละโพสต์ ในแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งจะต้องทำการระบุระยะเวลาที่จะวัดผล เช่น สัปดาห์ เดือน หรือไตรมาส แล้วสามารถทำการเปรียบเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้าเพื่อดูแนวโน้มของผลลัพธ์ว่าดีขึ้น หรือแย่ลง เพื่อนำไปปรับปรุงต่อไป
- Audience Growth Rate: เป็นการวัดว่าอัตราการเติบโตของผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียเป็นเท่าไหร่ โดยให้ทำการระบุจำนวนผู้ติดตามใหม่สำหรับเดือนนั้นๆ บนแพลตฟอร์มที่ต้องการวัดผล (New Follower) หารด้วยผู้ติดตามทั้งหมด (Total Follower) x 100 จะได้ออกมาเป็น % Growth Rate ซึ่งช่วยทำให้เห็นว่าในแต่ละเดือนมีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน เทียบกันแล้วดีขึ้นหรือไม่
- Average Engagement Rate: เป็นการวัดว่า % Avg Engagement Rate เป็นอย่างไร หากมีค่าสูงแสดงว่าโพสต์ที่ทำนั้นกลุ่มเป้าหมายสนใจ โดยหาจากจำนวน Like + Comment + Share จากโพสต์ในแต่ละช่วงเวลา หารด้วยจำนวนผู้ติดตามทั้งหมดของแพลตฟอร์มนั้นๆ (Follower) x 100 ซึ่งค่านี้จะทำให้เห็นว่า ควรโพสต์เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร รูปแบบคอนเทนต์แบบไหนถึงจะได้รับความนิยม
- Conversion Rate: เป็นการวัดว่ามีกลุ่มเป้าหมายลงมือทำบางสิ่งบางอย่าง (Take Action) ตามที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่ เช่น ลงทะเบียน ซื้อสินค้า ฯลฯ โดยหาจากจำนวน Conversion ที่เกิดขึ้น หารด้วยจำนวนคลิก (Click) x 100 ค่านี้จะหาเพื่อดูว่าจำนวนการคลิกที่เกิดขึ้นนั้นมีคุณภาพหรือไม่
คำถามที่พบบ่อย
Small Business หรือ Start Up ควรทำ Social Media Strategy ไหม
Social Media Strategy ถือเป็นเครื่องมือบนโลกออนไลน์ที่สำคัญสำหรับธุรกิจ Small Business หรือ Start Up ด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นช่องทางที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้จำนวนมาก อ้างอิงจาก Thailand Digital Stat 2022 ของ We Are Social ที่ระบุว่า ในปี 2022 มีจำนวนคนไทยที่ใช้งานโซเชียลมีเดียมากถึง 56.85 ล้านคน หรือคิดเป็น 81.2% ของประชากรทั้งประเทศ และในแต่ละแพลตฟอร์มเองก็มีจำนวนผู้ติดตามในรูปแบบที่แตกต่างกัน ทำให้สามารถวางกลยุทธ์การทำ Content Marketing คือ การทำการตลาดผ่านคอนเทนต์ เพื่อสื่อสารไปยังแพลตฟอร์มต่างๆ ที่มีกลุ่มเป้าหมายของคุณอยู่ได้อย่างชัดเจนได้ง่าย
อีกทั้ง ยังสามารถจัดแบ่งงบประมาณในการใช้ทำงานการตลาดหรือการยิงแอด เพื่อมุ่งเป้าไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการได้ง่ายขึ้นจากการรู้ถึง Insight การใช้งานโซเชียลมีเดียของกลุ่มเป้าหมายจาก Customer Experiece ที่มักมีรูปแบบการใช้งานที่แบรนด์สามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งใน Journey เหล่านั้นผ่าน Social Media ที่พวกเขาใช้งานอยู่ในทุกๆ วันนั่นเอง
เริ่มต้นวางแผน Social Media Strategy กันเถอะ!
หากคุณมีช่องทาง Social Media เป็น Owned Media ที่เข้มแข็งอยู่แล้วก็อย่าลืมวางแผน Social Media Strategy ด้วยขั้นตอนที่เรานำเสนอไว้ในบทความนี้เพื่อเสริมสร้างให้กลยุทธ์การทำการตลาดบนช่องทางโซเชียลมีเดียของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ก็อย่าลืมใช้เครื่องมืออื่นๆ ในการช่วงมองหาเทรนด์ต่างๆ ที่เป็นกระแสเพื่อหยิบจับมาทำเป็นคอนเทนต์ต่างๆ ที่ทำให้ Social Media Platform ของคุณอยู่ในเทรนด์ที่ผู้คนสนใจตลอดเวลาด้วย เช่น การใช้ Google Trend, การใช้ Social Listenting เป็นต้น
เพียงแค่นี้ก็จะช่วยทำให้ Social Media Strategy มีระบบและครอบคลุมตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย การลงมือทำ ไปจนถึงการวัดผลลัพธ์ได้อย่างแท้จริงแล้ว
อ่านเพิ่มเติม : Google Trend คืออะไร
อ้างอิง
Clodagh O’Brien. (2022). How to Develop a Social Media Strategy That Drives Brand Awareness & ROI. [Online]. Available from: https://digitalmarketinginstitute.com/blog/social-media-strategy
Christina Newberry, Amanda Wood. (2022). How to Create a Social Media Marketing Strategy in 9 Easy Steps (Free Template). [Online]. Available from: https://blog.hootsuite.com/how-to-create-a-social-media-marketing-plan/